วันก่อนผมสัมภาษณ์ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ว่าด้วยเรื่องหมอกควันพิษเหนือกรุงเทพฯ...เราต่างมีคำถามว่าพรรคการเมืองที่กำลังเสนอตัวมาเป็นรัฐบาลนั้นมีนโยบายเรื่องนี้อย่างไร
ถึงวันนี้ก็ยังไม่ชัดเจน
ดร.ธรณ์เล่าประเด็นที่เราคุยกันในเฟซบุ๊กของท่านได้น่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเล่าต่ออย่างนี้ครับ
เป็นเรื่องที่อยากพูดถึงมาก จนขอรบกวนคุณสุทธิชัยจัดสัมภาษณ์ประเด็น พรรคการเมืองกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ออกทั้งในทีวีและในโซเชียล เพื่อช่วยกระตุ้นให้พรรคต่างๆ ช่วยกันหาเสียงด้านนี้หน่อยครับ
เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อน มันเข้ามาใกล้ตัวเรายิ่งกว่ายุคไหน
ทั้งฝุ่นที่มีอยู่เต็มกรุงเทพฯ
ขยะพลาสติกที่รณรงค์กันทั้งบ้านทั้งเมือง
ขยะทะเลที่นอกจากทำให้วาฬตายจนเศร้าทั้งประเทศ ยังกลายเป็นไมโครพลาสติกเข้ามาสะสมในร่างกายเรา
น้ำเสียที่ไหลลงทะเล เป็นดรามาแทบทุกสัปดาห์ ฯลฯ
ทว่า...ประเด็นเหล่านี้ยังไม่ถูกนำไปพูดถึงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพรรคต่างๆ ที่อาสามาเป็นผู้แทนของเรา
การหาเสียงยังคงวนกับเรื่องเดิมๆ คนไทยรวยขึ้น การศึกษาดีขึ้น มีระบบประกันสุขภาพ ฯลฯ
ซึ่งนั่นมันก็ดีครับ แต่รวยแล้วไง ซื้อคอนโดฯ สูง 50 ชั้นก็ยังอยู่ในม่านฝุ่น PM2.5
มาตรฐานการศึกษาสูงปรี๊ด แต่ยังต้องใส่หน้ากากเรียนหนังสือ
มีประกันค่ารักษามากมาย แต่ต้องเข้าโรงพยาบาลก่อนวัยอันควร 10 ปี
ผมเชื่อว่ามีคนไทยอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะต้องอยู่ไปอีกยาวนาน เป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสุขภาพของเขาและคนที่เขารัก
และยังไม่ทราบว่าตัวเองจะเลือกพรรคไหนดี
คนกลุ่มนี้พร้อมให้คะแนนพรรคใดที่มีนโยบายชัดเจนในด้านนี้
นโยบายชัดเจน ไม่ใช่แค่เกิดประเด็นแล้วออกมาเรียกร้องให้แก้ปัญหา หรือออกมาบอกวิธีแก้
แต่ระดับนโยบายพรรค ต้องหาทางแก้ตั้งแต่สาเหตุ บอกเป้าหมาย และวิธีการให้ชัดเจน
พรรคเราจะตั้งเป้าให้ค่าฝุ่นในกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า ไม่มากไปกว่าปัจจุบัน
และจะทำให้กรุงเทพฯ ไม่ติดอันดับ 1-20 เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกให้จงได้
โดยจะเร่งไฟฟ้าหมุนเวียนให้มีสัดส่วนเกิน 40% จะสนับสนุนรถเมล์ไฟฟ้าอย่างน้อย 1 พันคัน จะผลักดันให้เกิดรถไฟฟ้าอย่างน้อยหมื่นคันต่อปี ด้วยการลดหย่อน/คืนภาษีหรืออะไรก็ว่ากันไป
จะควบคุมปริมาณรถในเมืองใหญ่ สร้างการขนส่งมวลชนรายย่อย ทำให้คนกรุงใช้ขนส่งสาธารณะเกิน 15% ภายใน 10 ปี
เพิ่มค่าปรับเพื่อจัดหนักกับรถที่ปล่อยมลพิษเกินขนาด ฯลฯ
เราจะทำให้ประเทศไทยหลุดจาก 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุด
จะทำให้พลาสติกในเมืองไทยทั้งหมดเป็นพลาสติกรีไซเคิลในอีก 10 ปี
เราจะให้เลิกขายถุงพลาสติก ยกเลิกหลอดกาแฟ ฯลฯ ภายในปีนั้นปีนี้
จะจัดการให้น้ำเสียในเมืองไทยได้รับการบำบัดอย่างน้อย 50% โดยสร้างโมเดลพื้นฐานในเมืองใหญ่/แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ฯลฯ
คุณสุทธิชัยยังถามเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ
ผมตอบว่าด้านอื่นผมไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นด้านสิ่งแวดล้อม ยังไงซะมันก็คงปฏิเสธไม่ได้
ไทยทำสัญญาเรื่องก๊าซเรือนกระจกใน Paris Agreement จู่ๆ จะไปถอนตัว ลองคิดเองว่าเราจะโดนต่อว่าแค่ไหน (เราไม่ใช่อเมริกา เรายังต้องพึ่งพาประเทศอื่นอีกมาก ขนาดทรัมป์ยังโดน)
เราจะปฏิเสธยุทธศาสตร์ บอกว่าปล่อยให้ไทยทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลติดอันดับ 1-10 ของโลกต่อไป มันจะใช่หรือ?
เราจะบอกว่า ฝุ่นช่างมันเหอะ ไม่ต้องไปตั้งเป้าอะไร ปล่อยๆ ไว้เดี๋ยวมันก็ชินไปเอง?
ถึงอยากบอกว่า ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมไม่มีการเมือง
มันเป็นเทรนด์ของโลก ไทยฝืนไม่ได้ และมันเป็นประโยชน์ต่อคนทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน
อีกทั้งยุทธศาสตร์ด้านนี้แค่เขียนกรอบไว้ ในอนาคตพรรคใดขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็สามารถทำโครงการที่คิดว่าดีว่าเจ๋ง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าที่ตั้ง
เพื่อเมืองไทยจะสะอาดขึ้น อากาศจะดีขึ้น ทะเลจะมีปลามากกว่าพลาสติก ฯลฯ
แถมเป้ามันก็เปลี่ยนตัวเลขกันได้ ตามแต่ที่รัฐบาลนั้นๆ จะกล้าทุ่มเท
ใครจริงจังจะตั้งเป้าให้โหดขึ้นก็ได้นะ
เพราะฉะนั้น นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงศึกษาข้อมูลที่ก็เปิดเผยทั่วไป มีแม้กระทั่งดัชนีชี้วัดในราชกิจจานุเบกษา
มันมีอีกหลากหลายเรื่อง หลากหลายนโยบายและโครงการ มีแคมเปญด้านสิ่งแวดล้อมอีกมากมายที่สามารถนำมาสัญญากับประชาชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเลือกพรรคเรา
ผมเชื่อว่าอีกไม่นานจะเริ่มเห็นนโยบายพรรค จะเห็นการเกทับบลัฟแหลก
แต่อยากเห็นมากๆ คือการเกทับบลัฟแหลกในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
เพราะคนไทยยุคนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องปากท้อง
มันต้อง “ปากท้องและปอด” ครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |