25 ม.ค.62 - ที่โรงแรมสุโกศลเมื่อวันที่ 24 ม.ค. มีการเปิดเวทีเสวนาหัวข้อ "นโยบายพรรคการเมืองต่อการปฏิรูปตำรวจและงานสืบสวน" จัดโดยสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สปยธ.) เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) และมหาวิทยาลัยบูรพา โดยมีตัวแทน 5 พรรคการเมืองเข้าร่วม ได้แก่ พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) และพรรคอนาคตใหม่ (อนค.)
ทั้งนี้ ผู้จัดได้กำหนด 5 ประเด็นให้แต่ละพรรคกล่าวถึงนโยบาย ได้แก่ 1.การกระจายอำนาจเป็นตำรวจจังหวัด 2.การแยกงานสอบสวนออกจากตำรวจ 3.การสร้างระบบตรวจสอบการสอบสวนจากภายนอกโดยพนักงานอัยการ และฝ่ายปกครองในคดีสำคัญ หรือเมื่อมีการร้องเรียนตามหลักสากล 4.การออกหมายเรียกผู้ต้องหาหรือเสนอศาลออกหมายจับต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการ 5.การโอนตำรวจเฉพาะทาง 11 หน่วยและงานสอบสวนให้กระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบ 6.การจัดตั้งศาลจราจรให้เปรียบเทียบปรับคดีจราจร
โดย พล.ต.ต.มณเฑียร ประทีปะวณิช ตัวแทนพรรค พท.กล่าวว่า เห็นด้วยกับการโอนตำรวจ 11 หน่วย เพราะไม่ได้เป็นการตัดอำนาจสอบสวน และเห็นด้วยกับการตั้งศาลจราจรเพื่อให้ผู้ทำผิดเข็ดหลาบ ปัญหาต่างๆ จะน้อยลง ถ้าเสียค่าปรับก็จะทำผิดอีก แต่ไม่เห็นด้วยที่จะกระจายอำนาจให้เป็นตำรวจจังหวัด ถามว่าจังหวัดมีความพร้อมหรือไม่ ส่วนการแยกการสอบสวนออกจากตำรวจมีตัวอย่างที่ไม่เป็นผลสำเร็จมาแล้ว ทั้งดีเอสไอที่คดีค้างกว่า 3-4 หมื่นคดี ป.ป.ช.ค้าง 4-5 หมื่นคดี ส่วนการเปิดให้อัยการมีส่วนร่วมในการสอบสวน ไม่เห็นด้วยเพราะการร่วมหลายหน่วยไม่ใช่เรื่องง่าย แทนที่จะเร็วก็อาจจะช้าในการปฏิบัติ
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ตัวแทนพรรค ปชป.กล่าวว่า เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ แต่ไม่เห็นด้วยที่นำไปผูกกับอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะเดิมทีตำรวจขึ้นกับมหาดไทยก็มีปัญหามากมาย ตอนนี้ขึ้นกับสำนักนายกฯ จะมีหลักประกันอะไรในการแต่งตั้งโยกย้ายของผู้ว่าฯ จะรู้หรือว่าตำรวจคนนั้นเป็นอย่างไร ต้องยกระดับตำรวจให้เป็นอธิบดีภาคให้หมด ส่วนการแยกการสอบสวนออกจากตำรวจเห็นด้วย แต่ถามว่าหน่วยไหนจะรับงานไป อัยการก็ยังไม่เอา คิดว่างานสอบสวนจะต้องอยู่กับตำรวจต่อไป เห็นด้วยที่คนภายนอกมาร่วมตรวจสอบ เห็นด้วยกับการโอน 11 หน่วยเฉพาะทางเพราะบางเรื่องตำรวจไม่มีความรู้
ร.ต.อ.ดร.จอมเดช ตรีเมฆ ตัวแทนพรรค รปช.กล่าวว่า สนับสนุนตำรวจจังหวัด แต่ที่มาของผู้ว่าฯ ต้องชัดเจนก่อนว่าจะมีคุณภาพจริง ไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง เห็นด้วยที่แยกงานสอบสวนออกจากตำรวจเพราะงานหนักจริงๆ สิ่งที่ควรทำคือรับเจ้าหน้าที่นิติศาสตร์เข้ามาโดยเฉพาะ ให้เข้าเป็นพนักงานสอบสวน และมีความก้าวหน้าเหมือนอัยการและผู้พิพากษาได้ เห็นด้วยที่มีคนภายนอกมาช่วยตรวจสอบตำรวจ แต่อยากให้มองในมุมช่วยกันทำงานดีกว่า อย่างเช่นเก็บพยานหลักฐาน บางครั้งอยากให้โรงพยาบาลมาช่วย เห็นด้วยในการโอน 11 หน่วยงานที่ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา แต่ให้สอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนกับตำรวจดับเพลิง
นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ตัวแทนพรรค ชทพ.กล่าวว่า เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ ส่วนจะให้ตำรวจไปขึ้นกับใคร ให้คนของเขาดูแลคนของเขา จะออกมาเป็นภาคหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องมีการถ่วงดุล ให้คณะกรรมการประจำจังหวัดที่มีนักธุรกิจ ประชาชน ข้าราชการเข้ามามีส่วนร่วม ในอดีตพนักงานสอบสวนคือฝ่ายปกครอง ซึ่งตำรวจไม่อยากได้ก็คืนกลับไปฝ่ายปกครอง ไม่เห็นด้วยหากให้อัยการออกหมายเรียกและหมายจับเป็นการเพิ่มภาระ แต่เห็นด้วยที่โอนตำรวจ 11 หน่วยให้ แต่ต้องค่อยทำค่อยไปไม่ต้องบังคับว่าเขาต้องไป
พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ตัวแทนพรรค อนค.กล่าวว่า พนักงานสอบสวนเงินเดือนยังน้อย คนจึงเป็นพนักงานสอบสวนน้อย ต้องเพิ่มเงินเดือนให้ใกล้เคียงกับอัยการกับศาล เพิ่มระบบสอบเข้าให้ยากเหมือนอัยการเพื่อจะช่วยเพิ่มดุลพินิจให้ดีขึ้น ปัญหาปัจจุบันคือตำรวจมีคดีในมือเยอะ โรงพักขาดทรัพยากร ก็ต้องจัดลำดับความสำคัญ คือคดีดัง คนรวย คนมีเส้น ส่วนคนดี คนจนจึงถูกละเลย เกิดความไม่เท่าเทียม ต้นตอคือมีสายบังคับบัญชาที่ยาวเกินไป ถ้าตัดสายบังคับบัญชาก็จะตัดระบบอุปถัมภ์ได้ด้วย ส่วนการให้อัยการมีอำนาจออกหมายเรียกหมายจับเป็นการเพิ่มขั้นตอน ทำให้รอบคอบแต่ช้าขึ้นและเพิ่มภาระงาน อาจจะมีการเพิ่มงบมากขึ้น ทำให้ขั้นตอนสั้นลงจะดีกว่าด้วยการปฏิรูปโครงสร้าง แยกฝ่ายจับกับสอบสวนออกจากกัน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |