สิ้นสุดการรอคอยกับการรอความชัดเจนที่ประเทศจะกลับคืนสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ หลังจากที่คนไทยว่างเว้นจากการเลือกตั้ง ส.ส.มายาวนานเกือบ 7-8 ปี นับจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 เพราะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2557 ที่ตอนนั้นอยู่ในช่วงชุลมุนทางการเมือง จนสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ทำให้วันเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 ซึ่งเป็นมติของที่ประชุม 7 เสือกรรมการการเลือกตั้ง ที่ออกมาเมื่อช่วงเย็นวันพุธที่ 23 ม.ค. หลังมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2562 ในช่วงสายของวันเดียวกัน

ส่งผลให้นับแต่นี้ ประเทศไทยก็เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเต็มตัว ทำให้การหาเสียงของพรรคการเมือง-ผู้ลงสมัครส.ส. ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ ตลอดจนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่างๆ จึงเดินเครื่องเต็มสูบ นับจากหลังเที่ยงคืน ที่เข้าสู่วันที่ 24 ม.ค. โดยที่พรรคการเมือง-ผู้สมัคร ส.ส. ตลอดจนเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นในการหาเสียง การปฏิบัติหน้าที่ ที่จะต้องไม่กระทำการใดๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง จนเกิดปัญหาคดีความตามมา หลังจาก พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ประกาศใช้ ขณะเดียวกัน “ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง” ก็จะเริ่มต้นคิดกันแล้วตั้งแต่ตอนนี้ ในวงเงินที่ กกต.กำหนดคือผู้สมัคร ส.ส.เขตใช้ได้ไม่เกินคนละ 1.5 ล้านบาท ขณะที่พรรคการเมืองใช้ได้เกิน 35 ล้านบาท

  สำหรับปฏิทินการเลือกตั้งตามมติ กกต. มีดังนี้

   4-8 ก.พ. เป็นวันรับสมัครผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมบัญชีผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีที่พรรคการเมืองต้องแจ้งต่อ กกต.   4-16 มี.ค. คือช่วงการออกเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร สำหรับคนไทยในต่างแดน

      17 มี.ค. เป็นวันออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในและนอกเขตจังหวัด รวมถึงการออกเสียงเลือกตั้งในสถานเลือกตั้งกลางของผู้ทุพพลภาพและผู้สูงอายุ

24 มี.ค. วันเลือกตั้ง

  ขณะที่ช่วง 28 ม.ค.-19 ก.พ.2562 คือวันที่ กกต.ให้ผู้ที่ประสงค์จะใช้สิทธิล่วงหน้าในและนอกเขตเลือกตั้ง รวมถึงการใช้สิทธินอกราชอาณาจักรได้ลงทะเบียน โดยสามารถยื่นคำขอผ่านนายทะเบียนอำเภอ นายทะเบียนท้องถิ่น สถานเอกอัครราชทูต ผ่านช่องทางไปรษณีย์ หรืออินเทอร์เน็ต

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 268 บัญญัติว่า กกต.จะต้องจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หลังจากที่ พ.ร.บ.ประกอบ รธน. 4 ฉบับ ที่ใช้ในการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ซึ่งก็คือนับจาก 12 ธ.ค.2561 หลัง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. ประกาศเมื่อ 11 ธ.ค.2561 โดยก่อนหน้านี้ อดีตกรรมการร่าง รธน.หลายคนได้ย้ำว่า กรอบเวลาดังกล่าวไม่รวมถึงการรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส. แม้อาจมีบางฝ่ายเห็นแย้งอยู่

ขณะเดียวกัน ตามกฎหมายบัญญัติให้ กกต.จะต้องรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งสองระบบไม่น้อยร้อยละ 95 ของจำนวน ส.ส.ทั้งสภา คือ 475 คน เพื่อให้เปิดประชุมสภานัดแรก อันจะนำไปสู่การเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ก็คือประธานรัฐสภา ภายในไม่เกิน 60 วัน นับจากวันเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม กรอบเวลา 60 วันดังกล่าว ในทางปฏิบัติจริงๆ กกต.ก็ไม่ได้ใช้เวลาเต็มที่แบบ Maximum อยู่แล้ว มีการคาดหมายกันว่า เพื่อให้ทุกอย่างไม่เกิดปัญหาในการตีความว่า กกต.รับรองผลเกินกรอบ 150 วันในการจัดเลือกตั้ง จนเกิดปัญหาการฟ้องร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะตามมา ดังนั้น ยังไง กกต.ก็คงใช้เวลาไม่ถึง 60 วันแน่นอน ในการรับรองผลเลือกตั้ง เพื่อเซฟตัวเอง

  สิ่งที่ต้องติดตามต่อจากนี้ก็คือ บริบทการเลือกตั้งที่จะตามมาจากพรรคการเมืองต่างๆ ในการเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้งเต็มรูปแบบ เช่น การเตรียมลาออกจากตำแหน่งของ 4 รมต. ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ อาทิ อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรค, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เลขาธิการพรรค แต่ที่หลายคนจับจ้องกันก็คือ ท่าทีการเมืองของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ที่แม้ตอนนี้จะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว แต่ก็ยังเป็นนายกฯ ที่มีอำนาจเต็ม ไม่เหมือนนายกฯ รักษาการแบบที่ผ่านมา โดยเฉพาะยังมีอำนาจในมือกับการใช้มาตรา 44 ได้อีก โดยตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ดูจะเชื่อกันว่าบิ๊กตู่ยังไงก็ต้องลงแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ แม้ช่วงหลังท่าทีการเมืองของบิ๊กตู่แลดูแกว่งๆ ไปบ้างก็ตาม

การเมืองนับจากนี้จึงเข้มข้นอย่างยิ่ง บนเดิมพันสูงทางการเมืองของสองขั้วสำคัญ คือฝ่ายทักษิณ ชินวัตร-พรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่าย กับขั้ว คสช.-บิ๊กตู่ กับศึกชิงอำนาจการเมืองหลังเลือกตั้ง.