คนที่เฝ้ามองเศรษฐกิจจีนอย่างใกล้ชิดเริ่มจะมีความเป็นห่วง “อาการอ่อนแอ” ของมังกรยักษ์ในหลายๆ อย่าง เช่น
๑.อัตราโตทางเศรษฐกิจของไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมาลดลงเหลือ 6.5% ซึ่งถือว่าเฉื่อยที่สุดตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกในปี 2009
๒.ตัวเลขขายรถยนต์ปีที่ผ่านมาลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
๓.Apple เตือนว่ายอดขายไอโฟนในตลาดจีนหดตัวลงเป็นครั้งแรกในหลายปี
๔.ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ร่วงลงกว่า 25% จากจุดสูงสุดในปี 2018
๕.ยอดส่งออกของจีนใน 2 เดือนที่ผ่านมาลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี
๖.ยอดหนี้สินสูงขึ้นอย่งน่ากลัว ตัวเลขหนี้ทั้งหมดเทียบกับจีดีพีพุ่งขึ้น 253% ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาจาก 140% เมื่อสิบปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าตัวเลขหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นและ NPLs ของธนาคารและของรัฐวิสาหกิจเชื่อถือได้เพียงใด แต่การวิ่งขึ้นของหนี้ในภาพรวมได้ก่อให้เกิดความกังวลไม่น้อย
แต่นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ยืนยันในคำปราศรัยทางการว่า จีนสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในช่วงที่ “เหมาะสม” ด้วยการใช้นวัตกรรม รวมทั้งปรับปรุงการควบคุมทางด้านเศรษฐกิจมหภาพ แต่ก็ยอมรับว่าปีนี้จีนจะประสบความยากลำบากมากขึ้น
นายหลี่ระบุว่า จีนได้เรียนรู้ที่จะรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหมาะสม โดยไม่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
เขาบอกว่า รัฐบาลจะเดินหน้าให้ความสำคัญต่อการปฏิรูปและการเปิดตลาด
อีกทั้งยังจะปรับปรุงบรรยากาศในการทำธุรกิจ ช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย ให้สามารถลดภาระการดำเนินธุรกิจ
สำนักข่าวรอยเตอร์บอกว่า สำรวจแล้วสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงในปีนี้ อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนตัวลง การส่งออกได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ แม้รัฐบาลจีนจะไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าการปะฉะดะกับสหรัฐในเรื่องการค้านั้นมีผลทางลบต่อจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รอยเตอร์ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวสู่ระดับ 6.3% ในปีนี้
ถ้าเป็นจริงก็จะเป็นอัตราโตในระดับต่ำสุดในรอบ 29 ปี และต่ำกว่าระดับ 6.6% ที่คาดไว้สำหรับการขยายตัวในปี 2561 หลังจากที่มีการเติบโต 6.9% ในปี 2560
ข่าวบางกระแสบอกว่า รัฐบาลจีนกำลังเตรียมปรับลดตัวเลขเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ สู่ระดับ 6.0-6.5% จากระดับ 6.5% ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) อีก 1.50% ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่ได้ปรับลด 1% ในเดือนนี้ แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักไม่คาดว่าธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.35% อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 2.3% ในปีนี้ โดยลดลงจากระดับ 2.4% ในการสำรวจในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา
ตัวเลขทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เกิดการมองว่าจีนกำลังเข้าสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ ยอมให้อัตราโตของผลผลิตมวลรวมลดลงมาที่ 6.00-6.50% แต่หันมาเน้นคุณภาพของการพัฒนาประเทศ โดยให้น้ำหนักการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางสังคมและการเมือง
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังเน้นการปราบคอร์รัปชันและสร้างความแข็งแกร่งทางด้านแสนยานุภาพทางทหาร
ผมเชื่อว่าผู้นำจีนมองข้ามช็อตความขัดแย้งกับโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องสงครามการค้าไปข้างหน้า พยายามจะสร้างความแข็งแกร่งภายใน แก้ปัญหาความยากจน และวางจุดยืนของจีนในเวทีระหว่างประเทศให้มีอำนาจต่อรองสูงขึ้น โดยเน้นการผลักดันการค้าเสรีและเป็นผู้นำด้านสร้างสิ่งแวดล้อมและความร่วมมือระหว่างประเทศ
ระเบียบโลกกำลังจะปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะทรัมป์พลิกบทของสหรัฐ หันไปเน้นการสร้างความนิยมชมชอบกับฐานเสียงในประเทศ แทนที่จะดำรงบทบาทผู้นำโลก
เปิดจังหวะให้จีนผงาดขึ้นในเวทีระหว่างสากล...ทั้งๆ ที่ต้องแก้ปัญหาภายในเองไม่น้อยเช่นกัน
แต่เมื่อหน้าต่างแห่งโอกาสเปิดออกอย่างนี้ มีหรือที่สี จิ้นผิง จะไม่กระโดดเข้าใส่อย่างคึกคักอย่างที่เราเห็นกันวันนี้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |