รายงาน Chinese military power: Modernizing a Force to Fight and Win จากสำนักข่าวกรองกลาโหมสหรัฐ (US Defense Intelligence Agency) ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อ 15 มกราคม มีหัวข้อครอบคลุมหลายประเด็น บทความนี้นำเสนอสาระสำคัญอันเป็นการตีความจากฝ่ายสหรัฐ พร้อมการวิเคราะห์ดังนี้
ประวัติศาสตร์จีน 5,000 ปี :
จีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 5,000 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าวได้สร้างอารยธรรมอันรุ่งเรืองตามยุคสมัย กองทัพจีนเป็นอีกส่วนที่นักประวัติศาสตร์บรรยายความยิ่งใหญ่ ความน่าทึ่งในแต่ละราชวงศ์
แต่สงครามจีน-เวียดนามในปี 1979 ชี้ให้เห็นว่ากองทัพจีนมีจุดอ่อนเรื่องแผนปฏิบัติการ เทคนิคการรบ การบัญชาการ การส่งกำลังบำรุง สงครามอ่าวเปอร์เซียให้บทเรียนที่สำคัญแก่จีนถึงการรบสมัยใหม่ เช่น การเชื่อมโยงของระบบข้อมูลข่าวสาร การเคลื่อนกำลัง การโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ
กองทัพจีนพัฒนาอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 พร้อมกับความเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ทางการเมือง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จากวันนี้ถึงปี 2020 จีนไม่คิดทำสงครามใหญ่กับใคร เป็นช่วงเวลาปรับปรุงกองทัพ ลงทุนโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายโครงการ ซ้อมรบตามยุทธวิธีสมัยใหม่ สงครามไซเบอร์ บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น รับนักศึกษาจบมหาวิทยาลัยเพื่อรองรับอาวุธสมัยใหม่
ปลายปี 2015 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ออกนโยบายให้กองทัพมีขนาดเล็กลง เป็นมืออาชีพมากขึ้น อาวุธทันสมัยกว่าเดิม ตั้งศูนย์บัญชาการร่วมทุกเหล่าทัพ มุ่งปรับให้พร้อมรับมือสหรัฐ
วิเคราะห์ : จีนเดินหน้าพัฒนากองทัพให้ทันสมัย ทั้งหลักนิยมการรบ โครงสร้างกองทัพ ระบบการบัญชาการ ใช้อาวุธสมัยใหม่ สิ่งหนึ่งที่จีนสู้สหรัฐไม่ได้แน่นอนคือประสบการณ์การรบจริง ประสบการณ์การรบตามยุทธวิธีสมัยใหม่ที่สหรัฐทำการรบน้อยใหญ่เรื่อยมา จีนไม่มีประสบการณ์เช่นนี้ (นับจากทำสงครามกับเวียดนามเมื่อปี 1979 จีนไม่ได้ทำสงครามกับใครอีกเลย การรบครั้งนั้น จีนยังใช้ยุทธการแบบเก่าซึ่งไม่อาจใช้กับการศึกปัจจุบัน) ดังนั้น ความพร้อมรบสหรัฐสูงกว่า มีประสบการณ์จริงมากกว่า นี่คือสิ่งที่จีนไม่อาจเลียนแบบหรือพัฒนาให้เท่าทัน
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของจีน :
China’s Military Strategy ของจีนที่นำเสนอเมื่อปี 2015 ระบุว่า จีนไม่คิดว่าจะมีสงครามโลก แต่จะเกิดสงครามในบางแห่งบางประเทศ (local war) ภัยคุกคามที่เอ่ยถึงคือเรื่องอธิปไตย ความมั่นคงภายในที่อาจสั่นคลอนศูนย์กลางอำนาจจีน ประเด็นไต้หวัน อุยกูร์ ทิเบต คิดแยกตัว ข้อพิพาททะเลจีนใต้กับทะเลจีนตะวันออก เสถียรภาพในคาบสมุทรเกาหลี ปัญหาชายแดนกับอินเดีย
วิเคราะห์ : สังเกตว่าภัยคุกคามที่จีนเอ่ยถึงเกือบทั้งหมดติดต่อหรือใกล้กับแผ่นดินจีน ในแง่ความมั่นคงทางทหารสะท้อนว่าจีนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่อยู่ใกล้ ตรงข้ามกับสหรัฐที่ผลประโยชน์กว้างขวางครอบคลุมทั้งโลก ดังนั้น ถ้ามองจากมุมจีน จีนกำลังเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่า ในขณะที่สหรัฐเป็นฝ่ายรุกคืบติดพรมแดนจีนหรือรุกเข้าไปข้างในจีน การที่สหรัฐวางกองเรือและกองกำลังอื่นๆ จำนวนมากในเอเชียแปซิฟิกสะท้อนเจตนากับเป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐได้เป็นอย่างดี
หัวใจของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของจีน คือ การมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก จีนมองจากตัวตนสู่โลกภายนอก ในศตวรรษที่ 21 นี้ เป็นโอกาสทางยุทธศาสตร์ (period of strategic opportunity) ของจีนจากบริบทโลก เป้าหมายทางยุทธศาสตร์นอกจากรักษาการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ความมั่นคงภายใน การเติบโตทางเศรษฐกิจ พิทักษ์อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน อีกข้อคือเสริมสร้างความเป็นมหาอำนาจ
ก่อนการปฏิวัติสังคมนิยมประวัติศาสตร์จีนเต็มด้วยความแปรปรวนภายใน ความวุ่นวายอันเนื่องจากสงครามกลางเมือง เป็นเหตุบั่นทอนอารยธรรม ชนเชื้อชาติอื่นหรือประเทศอื่นแทรกแซง คนจีนรำลึกประวัติศาสตร์เหล่านี้อยู่เสมอ ความมั่นคงภายในจึงเป็นประเด็นที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ ผู้นำแต่ละยุคเห็นว่าจำต้องปกครองด้วยความเข้มงวดดีกว่าปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวาย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ปัจจุบันยึดถือแนวทางนี้เช่นกัน
ภัยจากภายในอาจรุนแรงกว่าภายนอก แต่ละวันมีพลเมืองหลายล้านคนที่ทางการจีนติดตามเฝ้าระวังใกล้ชิด เกรงว่าคิดก่อเหตุวุ่นวาย ต่างชาติเสี้ยมสอน
การทุจริตคอร์รัปชัน การสร้างกลุ่มก๊วนในหมู่เจ้าหน้าที่ เป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลต้องจัดการเรื่อยมา
ในขณะเดียวกันนับวันกองทัพจีนจะขยายภารกิจไกลจากแผ่นดินแม่ เมื่อผลประโยชน์ขยายตัวออกสู่ไปประเทศอื่นๆ การปรับปรุงยุทโธปกรณ์สอดคล้องกับงบกลาโหมที่เพิ่มขึ้น ช่วงปี 2000-16 งบกลาโหมจีนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะ 2-3 ปีให้หลังนี้ลดลงมาอยู่ที่ 5-7 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 1.2-1.4 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี (ธนาคารโลกระบุ GDP จีนปี 2017 อยู่ที่ 12.24 ล้านล้านดอลลาร์) ตัวเลขดังกล่าวเป็นการคาดการณ์ ไม่ทราบจำนวนแท้จริง และไม่รวมงบที่ใช้ในงานวิจัยทางทหาร เงินอุดหนุนเจ้าหน้าที่ ฯลฯ
เป้าหมายของจีนคือสร้างกองทัพที่ทำสงครามระดับภูมิภาค สร้างระบบ real-time C2 networks ใช้ยุทธศาสตร์ป้องกันด้วยการรุกทำลายข้าศึก มุ่งพัฒนาการทำสงครามในยุคดิจิทัล ระบบสั่งการและควบคุมแบบดิจิทัล หรือ informatized warfare ให้ความสำคัญกับการรบนอกแผ่นดินใหญ่ การรบทางทะเล การรบในยุคไฮเทค ผลักดันให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับต้องพร้อมรบตลอดเวลา เป็นความท้าทายต่อโครงสร้างสายบังคับบัญชา
เป็นแนวทางเดียวกับที่ชาติตะวันตกใช้อยู่
ขีดความสามารถของกองทัพจีน :
แม้จีนยังห่างไกลที่จะส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปปฏิบัติการในที่ต่างๆ ทั่วโลก แต่อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธอวกาศและไซเบอร์สามารถจู่โจมปรปักษ์ได้ทุกแห่ง
จีนกำลังพัฒนาเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ (แทน H-6K) ร่วมกับยูเครนพัฒนาเครื่องบินลำเลียง An-225 ที่สามารถบรรทุกอาวุธถึง 254 ตัน กำลังสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินที่ผลิตด้วยตนเอง ตั้งฐานทัพที่จิบูตี (Djibouti – ฐานทัพต่างแดนแห่งแรกของจีน จุดยุทธศาสตร์ควบคุมคลองสุเอซ) บ่งบอกว่าจีนกำลังขยายอำนาจการรบของตนให้ไกลออกไปมากขึ้น สอดรับกับผลประโยชน์ที่ไกลออกไปตามยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม (Silk Road Strategy) หรือ Belt and Road Initiative (BRI)
จีนได้พัฒนาและประจำการอาวุธนิวเคลียร์จำนวนหนึ่งเพื่อโจมตีตอบโต้ตามนโยบายไม่ใช้ก่อน (no first use-NFU) แต่น่าสงสัยว่าจีนอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์หากกองกำลังดังกล่าวถูกโจมตีหรือรัฐบาลกำลังแย่ จีนกำลังพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ชนิดหลายหัวรบแบบติดตั้งบนยานพาหนะ ขีปนาวุธมีระบบทะลวงระบบป้องกันขีปนาวุธของฝ่ายตรงข้าม และอาจกำลังเตรียมเครื่องบินติดขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์
ในอนาคตจีนจะเชื่อมต่อระบบ C2 พร้อมกับขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดเคลื่อนที่ได้ เรือดำน้ำติดขีปนาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่ เป็นกองทัพที่น่าเกรงขาม
วิเคราะห์ : รายงาน Chinese military power ฉบับนี้ไม่ต่างจากรายงานของหน่วยงานอื่นๆ ที่มักคาดการณ์อนาคตไว้อย่างน่ากลัว จีนจะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง โดยข้อเท็จจริงแล้วนับตั้งแต่โลกมีอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐเป็นผู้นำด้านนี้มาตลอด และยังเป็นผู้นำในปัจจุบัน ยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Posture Review: NPR) ฉบับล่าสุดปี 2018 ประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลมีหน้าที่คงกำลังอาวุธนิวเคลียร์ให้เหนือทุกประเทศในโลก ด้วยความเชื่อว่านอกจากปลอดภัยแล้ว ยังเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเจรจา เรื่องนี้สัมพันธ์กับเศรษฐกิจโดยตรง เพราะสหรัฐมีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลก เป็นระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อตน วันใดที่ภาพลักษณ์ความเป็นมหาอำนาจหดหาย จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทันที เช่น กระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ ข้อตกลงการค้าที่สหรัฐได้เปรียบ
ทั้งรัสเซียกับจีนล้วนเป็นผู้ตามหลังอเมริกาในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ และต้องย้ำว่าสหรัฐจะไม่ยอมให้ใครแซงนำในเรื่องนี้
โดยภาพรวมแล้วกองทัพจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว ยึดแนวยุทธศาสตร์การรบแบบชาติตะวันตก กองทัพจีนน่าเกรงขามขึ้นมากในมุมมองของรัฐบาลสหรัฐ แต่ยังเป็นเพียงมหาอำนาจทางทหารระดับภูมิภาคด้วยเหตุผลที่ยังไม่สามารถปฏิบัติการครอบคลุมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจพัฒนาเติบโตต่อไป วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีก้าวล้ำ ผลประโยชน์ที่ขยายตัวทั่วโลกย่อมเป็นเหตุให้กองทัพจีนต้องเข้มแข็งมีประสิทธิภาพ ปกป้องผลประโยชน์ประเทศที่กระจายทั่วโลกเป็นเงาตามตัว.
-----------------------------
ภาพ : การซ้อมยกพลขึ้นบก
-----------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |