ยามเช้าบนถนนแดมไซด์ เมืองโปขรา ประเทศเนปาล
อันนะปุรณะ (Mount Annapurna) เป็นทิวเขาส่วนหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย มียอดเขาความสูงมากกว่า 7,200 เมตร ถึง 6 ยอด โดยที่ยอดเขา Mt. Annapurna I สูงถึง 8,091 เมตร สูงเป็นอันดับ 10 ของโลก
เมื่อคืนนี้ลุง “อะคาล” เจ้าของเกสต์เฮาส์แนะผมให้ตื่นแต่เช้าเพราะช่วงนี้ของปี (ต้นเดือนตุลาคม) มีโอกาสที่จะได้เห็น “อันนะปุรณะ” ในทัศนวิสัยที่แจ่มชัด แล้วก็เป็นอย่างที่ลุงว่า
เสียงนาฬิกาปลุกเวลา 6 โมงเช้าทำให้ผมตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย ลุกขึ้นเปิดหน้าต่างมองไปยังทิศเหนือ แล้วอาการง่วงนอนก็หายไปทันที
แสงอาทิตย์ขับสีขาวของหิมะที่ปกคลุมทิวเขาให้สว่างจ้าเหมือนที่ทำกับดวงจันทร์ และการยืนมองความยิ่งใหญ่เบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรนี้ได้ชัดเจนคงคล้ายกับการมองท้องฟ้าตอนกลางคืนเห็นกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
ด้วยความกลัวว่าหมู่เมฆจะมาบดบังในไม่ช้า ผมรีบวิ่งขึ้นไปยังดาดฟ้าโดยไม่ได้นำกล้องถ่ายรูปขึ้นไปด้วย มีเพียงโทรศัพท์มือถือซึ่งก็พอถ่ายได้ ตอนนึกออกว่าลืมกล้องก็คิดว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่
ใกล้ๆ ตัวเขื่อน ภายในรั้วของสำนักงานชลประทานภาคตะวันตกที่อยู่ห่างออกไปราว 300 เมตร เป็นอีกจุดที่มองเห็นหิมาลัยได้ชัดและถ่ายรูปได้สวย ทิวเขาอันนะปุรณะจะลงไปอยู่ในทะเลสาบเหมือนรูปสมมาตร ลุงอะคาลบอกไว้
ตอนกำลังเดินออกจากเกสต์เฮาส์ มีชายคนหนึ่งเข้ามาถามผมว่าเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า คงเพราะลุงอะคาลแกเคยอยู่ญี่ปุ่น 12 ปี หน้าตาแกก็ออกไปทางญี่ปุ่น แถมลูกค้าส่วนมากก็ยังเป็นชาวญี่ปุ่น พอดีกับที่ลุงแกเดินมาหา ผมจึงบอกแกเรื่องที่น้ำอุ่นไม่ทำงาน จนเมื่อคืนผมทำดีที่สุดแค่เอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว ลุงอะคาลแสดงสีหน้าตกใจ ชายที่คิดว่าผมเป็นคนญี่ปุ่นก็สำทับว่าเป็นความจริง ลุงอะคาลสัญญาว่าอีก 20 นาทีน้ำอุ่นจะใช้งานได้
เพียงแค่ผมหยุดสนทนาไม่กี่นาที เมฆก็เข้าปกคลุมกาแล็กซี่อันนาปุรณะเรียบร้อยแล้ว ความคิดจะไปถ่ายรูปจึงเปลี่ยนเป็นกินมื้อเช้าแทน
ห่างจากเกสต์เฮาส์ Lumbini Resort เพียงประมาณ100 เมตร ตรง 3 แยก บนถนน Damside Road ระหว่างทางที่จะไปสวนริมเขื่อน (Damside Park) มีร้านอาหารดังในย่านนี้ชื่อ German Bakery ผมเข้าไปสั่งครัวซองต์ชีสและอเมริกาโน่มานั่งกินด้านนอกร้าน เห็นรถเมล์สีเขียวเขียนบนตัวรถว่า City Bus วิ่งไปมาไม่ขาดสาย ยานยนต์อื่นๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์จำพวกโช้คอัพยาว แท็กซี่ยี่ห้อ Suzuki และ Tata และรถยนต์ทั่วไป ถนนแม้จะไม่ดีเลิศแต่ฝุ่นไม่คละคลุ้ง และไม่รู้สึกถึงมลพิษใดๆ เช้านี้อากาศดีมาก อุณหภูมิ 20 องศา ในช่วงกลางวันก็ขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 27 องศาเท่านั้น
เสร็จมื้อเช้าแบบง่ายๆ นี้แล้วผมก็เดินขึ้นเหนือไปตามถนนแดมไซด์ แวะที่สวนริมเขื่อนเห็นคนท้องถิ่นตกปลากันอยู่คึกคัก แล้วเดินต่อไปถึง 4 แยกแบงก์ชาติเนปาล เลี้ยวขวาไปได้เกือบ 200 เมตร ด้านซ้ายมือคือสถานีขนส่ง Tourist Bus Park จุดจอดรถที่ผมจะมาลงเมื่อคืนนี้หากว่าได้นั่งรถบัสแบบนักท่องเที่ยว แต่พอนั่งรถท้องถิ่นก็เลยต้องไปจอดอีกจุดที่ห่างออกไปจากเกสต์เฮาส์ Lumbini Resort ราว 4 กิโล แทนที่จะเป็น 1 กิโลนิดๆ
ผมเดินเข้าไปยังออฟฟิศทัวร์ชื่อ Evergreen Tour & Travel หากจำไม่ผิดเป็นเพียงออฟฟิศเดียวที่อยู่ในตัวตึกสี่ชั้น2 หลัง ตั้งอยู่ติดๆ กัน เอเยนต์ขายตั๋วรถบัสที่เหลืออีกสี่-ห้าเจ้าเป็นเพียงเคาน์เตอร์ลักษณะเป็นซุ้มเป็นเพิงตั้งอยู่อีกฝั่งของตึก ส่วนตรงกลางคือลานจอดรถบัสกว้างขวาง
คนท้องถิ่นหาอาหารเช้าจากทะเลสาบฟีวา
หนุ่มขายตั๋วใส่แว่น หน้าตาออกไปทางละตินอย่างสเปนหรืออิตาลี แจ้งว่ารถบัสไปลุมพินีมีเที่ยว 08.30 น.และอีกเที่ยวคือเที่ยวกลางคืน ราคาเท่ากัน 900 รูปี หรือประมาณ 300บาท ผมบอกเขาว่าตัดสินใจได้ว่าจะไปวันไหนแล้วจะกลับมาซื้อ เดินออกมาได้ราว 20 เมตรผมก็กลับไปซื้อ ระบุวันที่ 3 นับจากวันนี้ เก้าอี้หมายเลข 5 ริมหน้าต่าง หนุ่มแว่นยื่นมือมาให้จับแล้วเรียก “มายเฟรนด์” ทันที
ขาเดินกลับผมเจอกุนเธอร์-มังสวิรัติชาวเยอรมัน อดีตเพื่อนร่วมทางของผมกำลังปั่นจักรยานเก้ๆ กังๆ อยู่บนเลนขวา เขาอาจจะลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่เยอรมนี
กุนเธอร์ขอโทษผมเรื่องที่แอบหนีออกมาจากโรงแรมในไภรวาเมื่อเช้าวานนี้ คิดว่าผมจะไปลุมพินีก่อน ซึ่งผมไม่เคยบอกเขาเลยว่าผมจะไปสถานที่ประสูติก่อนจะมาโปขรา วางแผนไว้ว่าจะไปกราบเสาอโศกและรอยพระบาทตอนขากลับ เพราะผมไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วยที่ลุมพินี เนื่องจากรู้รสตอนไปกุสินาราด้วยกันมาแล้ว
ผมนึกว่าเมื่อวานนี้เขาได้มาพร้อมกับรถบัสนักท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าเขาก็มากับรถท้องถิ่นเหมือนกัน อาจจะไม่ทันรถนักท่องเที่ยวเวลา 7 โมงตรง หรือมากับรถท้องถิ่นเพราะเหตุผลด้านราคา เขายังบอกว่าเส้นทางโหดร้ายเกินกว่าจะทนได้อีกรอบ เขาจะไม่กลับไปทางเดิม คงบินหรือไม่ก็นั่งรถบัสจากโปขราไปกาฐมาณฑุ แล้วจึงค่อยบินไปนิวเดลี จากนั้นก็บินจากนิวเดลีกลับเยอรมนีตามกำหนดในตั๋ว
เราคุยกันเหมือนว่าไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองอะไรมาก่อน การทะเลาะกับฝรั่งก็ดีอย่างนี้ จบคือจบ แม้ว่าในใจอาจตกค้าง แต่ส่วนมากแล้วจะไม่พูดฟื้นฝอยหาตะเข็บ
กุนเธอร์พักในย่านเลคไซด์ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว เล่าให้ผมฟังทางอีเมลตอนหลังว่ามีสาวชาวเนปาลมาข้องแวะ แต่ละครั้งในการพบกันเธอจะปล่อยให้เขารอเป็นชั่วโมงและพาพี่สาวมาด้วย ตอนที่เขาอยู่ในกาฐมาณฑุก็เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กัน ผู้หญิงทั้งคู่อยากแต่งงานกับเขา พราหมณ์หนุ่มพาราณสีเพื่อนของเราวิดีโอคอลหาผม ฟันธงว่าพวกหล่อนต้องการจับกุนเธอร์ นี่คือบทและฉากที่ฝรั่งหลายคนประสบพบเจอ
ผมเองก็อยากรู้ว่ากลับเยอรมนีไปแล้วเกิดอะไรต่อ กุนเธอร์สารภาพมาทางอีเมลว่า “พวกหล่อนต้องการเงินจริงๆ นั่นแหละ ด้วยเหตุผลครอบครัวลำบากยากจน ไอโอนไปแล้วสองสามครั้ง แต่ไม่มากหรอก”
ทุกปา ก๋วยเกี๋ยวน้ำแบบทิเบต ใส่โมโม่ลงไปทำให้อิ่มท้องนานขึ้น
น้ำอุ่นทำงานแล้วตอนที่ผมกลับไปถึงเกสต์เฮาส์ อาบน้ำเสร็จก็นอนพักจนถึงเที่ยงเพราะเมื่อคืนยังนอนไม่เต็มอิ่ม ลุงอะคาลแนะนำให้เดินไปยังเจดีย์สันติภาพที่อยู่ห่างออกไปราว4 กิโลเมตร เป็นการเดินขึ้นเขาแต่ไม่ชันนัก ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เมื่อถึงเจดีย์ก็จะมองเห็นวิวพาโนรามาของอันนะปุรณะ ทะเลสาบฟีวา และโปขราทั้งเมือง
ไม่ไกลจากร้าน German Bakery มีร้านอาหารชื่อKMD Family Restaurant & Bar เมื่อวานผมก็มากินไก่ทันดูรีและผัดหมี่เป็นมื้อค่ำ และได้ทำความรู้จักกับ Antiquity Blue เบลนด์วิสกี้ชั้นดีที่ลืมไม่ลงจนวันหลังต้องซื้อกลับเมืองไทย
ผมสั่งทุกปา (Thukpa) ก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบทิเบต ใส่โมโม่ไก่ลักษณะคล้ายเกี๊ยวซ่าลงไปด้วย ราคา 180 รูปี หรือประมาณ 60 บาท รสชาติเข้มข้นอร่อยดี ชายหนุ่มคนเดียวกับเมื่อคืนให้บริการ เขาเรียนปริญญาโทที่ประเทศเดนมาร์ก ระหว่างอยู่ที่นั่น 5 ปีก็ทำงานในร้านอาหารไทยแบบห่อกลับบ้าน ตอนนี้วีซ่า 5 ปีสิ้นสุดลงต้องกลับเนปาลมาก่อนแล้วจึงจะขอกลับไปได้ใหม่ ผมไม่ได้ถามว่า 5 ปีนายยังเรียนไม่จบอีกหรือ
จากร้าน KMD นี้ก็เข้าสู่ทางเดินไปยังเจดีย์สันติภาพได้เลย เจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) ได้รับการสร้างขึ้นตามปณิธานของพระสงฆ์ “นิชิดัทสึ ฟูอิจิ” ผู้ก่อตั้งนิกายนิปปอนซัน-เมียวโฮจิของญี่ปุ่น (แยกจากนิกายนิชิเรน) โดดเด่นด้านการเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพ
ท่านฟูอิจิประกาศที่จะสร้างเจดีย์สันติภาพขึ้นทั่วโลกเมื่อ พ.ศ. 2490 สำหรับเจดีย์บน “เนินเขาอนาดู” นี้ท่านได้วางศิลาฤกษ์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเมื่อ พ.ศ. 2516 ภายหลังความขัดแย้งและอุปสรรคต่างๆ ที่กินเวลาหลายปีเจดีย์สันติภาพความสูง 115 ฟุตก็แล้วเสร็จ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2542 เป็น 1 ใน 2 เจดีย์สันติภาพในเนปาล (อีกแห่งคือที่ลุมพินีวัน) จากทั้งหมด 80 แห่งทั่วโลก นอกจากการเดินเท้าแล้วก็ยังไปถึงได้ด้วยรถยนต์และเรือ ซึ่งการเดินทางด้วยเรือต้องปีนเขาต่ออีกราว 1 ชั่วโมง
ตอนนี้ผมไม่มีซิมการ์ดที่จะใช้อินเตอร์เน็ตได้ แต่ก็สามารถเดินไปตามจีพีเอสในแผนที่กูเกิลจากมือถือ ไปถึงจุดที่ไม่มั่นใจก็ล้วงมือถือขึ้นมาดูเสียครั้งหนึ่ง
ถึงสะพานแขวนไม้ ความกว้างขนาดคนเดินสวนกัน ราวสะพานเป็นเชือกเหล็กเกลียวขนาดจับพอดีมือ มีตาข่ายลวดกันเด็กเดินตกเพราะเดินแล้วโคลงเคลง เบื้องล่างคือแม่น้ำไหลเชี่ยวที่ไหลลงมาจากประตูเขื่อน ด้านขวามือริมฝั่งตรงข้ามเป็นลานก้อนหิน สตรีหลายคนเอาผ้าออกมาซักในแม่น้ำแล้วผึ่งตากบนก้อนหินเหล่านั้น ส่วนบรรดาชายหนุ่มถอดเสื้อลงอาบน้ำ
“เฮลโล่ มายเฟรนด์ จะไปไหน” เสียงตะโกนดังมาจากอีกฝั่งของสะพาน
ผมตอบ “เจดีย์สันติภาพ” ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดเดินเข้ามาหากลางสะพาน ผมรู้ทันทีหมอนี่ทำมาหากินกับนักท่องเที่ยว เขาตอแยอยู่พักหนึ่งก็เดินกลับไปเพราะผมแกล้งทำเป็นถ่ายรูปไม่หยุดหย่อน แต่พอผมเดินข้ามไปเขาก็เข้ามาดักหน้า บอกให้เดินไปด้วยกัน
เขาเดินไปทางด้านขวา ชี้ไปทางเนินเขาเล็กๆ มีป้ายเขียนข้อแนะนำในการเดินป่าไปยังเจดีย์สันติภาพ ข้อแรกเขียนไว้ว่า “ควรเดินไปกับไกด์” ผมเดินต่อโดยไม่สนใจอ่านข้อที่เหลือ เขาตะโกนเรียกหลายครั้งแต่ผมไม่ตอบ จนเมื่อล้วงมือถือออกมาก็พบว่าเลี้ยวผิดทางตั้งแต่แรก ที่ถูกต้องเลี้ยวซ้ายหลังข้ามสะพาน
โปรดระวัง อีกฝั่งของสะพานจะมีคนดักรอและติดตามท่านไปทุกที่
ผมกลับไปถึงสะพานแล้วเดินตรงไปตามทางที่ระบุในแผนที่ หนุ่มเนปาลเดินตาม ผมจึงหันมาบอกว่า “ถ้าคุณเดินตามผมกลับนะ ผมต้องการเดินคนเดียว” ถึงตอนนี้หมอมีเพื่อนมาเสริมทัพอีกคน ดักซ้ายดักขวา ผมก็เดินข้ามสะพานกลับ มีเสียงตะโกนตามมาว่า “ผมมีเพื่อนเป็นคนไทยหลายคน กลัวอะไร ทำไมไม่ไว้ใจคนเนปาล” แล้วผมก็เดินกลับจริงๆ เพราะถ้าสองหน่อนี่เดินตามไป 3 กิโลกว่าจนถึงเจดีย์ผมคงรำคาญแย่ แถมยังต้องเสียเงินที่ยังไม่รู้ว่าวิธีการหรือเล่ห์กลของพวกเขาจะเป็นแบบไหน อาจจะคิดเป็นค่าคุ้มครองความปลอดภัยในระหว่างเส้นทางอันตรายก็ได้
ภายหลังผมได้อ่านในเว็บบอร์ดของ Tripadviser มีนักท่องเที่ยวฝรั่งโพสต์ไว้ว่าเคยถูกดักหน้าดักหลัง คนท้องถิ่น2 คนเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าแจ็กเก็ต เขาสงสัยว่าอาจจะเป็นมีด แต่เขาพร้อมสู้เพราะตัวใหญ่กว่ามากและไม่แสดงอาการหวาดกลัว พวกนั้นจึงลังเล เขาก็เดินหนีไปได้
คงเคยมีการดักปล้นหรือสร้างความรำคาญจนต้องยอมยื่นเงินให้ นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีป้ายเขียนแนะนำว่า “ควรเดินไปกับไกด์” คนพวกนี้ก็เลยทำตัวเป็นไกด์เสียเอง
เช้าวันต่อมาตอนที่ผมเดินออกจากสำนักงานชลประทานเขตตะวันตกหลังจากถ่ายรูปเสร็จก็มีเสียงทักว่า “เฮลโล่ มายเฟรนด์” ผมหันไปเห็นชายหนุ่มผู้หวังดีคนเดิมกำลังเดินไปยังทิศที่เขาดักผมเมื่อวาน
รู้สึกแปลกใจเหมือนกันเพราะผิดไปจากธรรมชาติที่ว่ามิจฉาชีพไม่ตื่นเช้า แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าภาพทิวเขาอันนะปุรณะสีขาวโพลนสลับซับซ้อน ทะเลสาบฟีวาสีเดียวกับท้องฟ้า และเมืองโปขราในหุบเขาเมื่อมองจากเจดีย์สันติภาพที่ผมได้เห็นจากอินเตอร์นั้นงดงามมาก และภาพยามเช้างดงามที่สุด หากหมอนี่ไม่ทำงานตอนเช้าแล้วจะทำงานตอนไหน
ผมตอบกลับไปว่า “เฮลโล่ แกอีกแล้วหรือ”.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |