คนรุ่นใหม่ในแวดวงการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลั่งไหลเข้ามามากมายไม่แพ้นักการเมืองรุ่นเก๋า หลากหลายแวดวงจากที่ทำงานด้านต่างๆ เมื่อวันนี้สนใจงานการเมืองเต็มตัว อยากอาสาเป็นผู้แทนราษฎร คนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งจึงหันมาเลือกเข้าพรรคนี้ ที่น่าจะเป็นฐานแข็งแรงจากการสานต่อนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน "ตี๋-คมสัณห์ ฐานะโชติพันธ์" เภสัชกรและนักธุรกิจหนุ่มวัย 38 ปี เป็นอีกคนหนึ่งที่พร้อมทำงานการเมือง ด้วยความเชื่อว่าพรรค พปชร.เป็นของทุกคน และเป็นทางออกของประเทศ
เหตุผลในการร่วมงานกับพรรคนี้?
ผมว่าพรรคค่อนข้างชัดเจน บุคคลชัดเจนอยู่แล้วว่าเราเป็นพรรคที่ให้โอกาสกับทีมคนรุ่นใหม่จริงๆ ไม่ใช่แค่อายุ นามสกุล เราไม่มีแบ็กกราวด์หรือวงศ์วานญาติเครือเป็นนักการเมือง เรารู้สึกว่าพอพรรคให้โอกาสกับพวกเราก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เขาเปิดพื้นที่ให้กับเรา โดยส่วนตัวเราติดตามการเมืองมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสมีพื้นที่ตรงนี้ เราก็แค่เหมือนทุกคนที่สนใจการเมืองทั่วไป เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเราก็มีความพร้อมในหลายๆ เรื่อง ความพร้อมในที่นี้ทั้งคุณวุฒิ ประสบการณ์ ความถนัดในส่วนของตัวเองที่เราทำงานมา ทางพรรคเปิดโอกาส ผมเชื่อว่าไม่น่าจะมีให้มากขนาดนี้ เราสนใจก็เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ทางไหน สถานะไหนก็ตาม เป็นสิ่งที่สำคัญ
"การเมืองเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องสนใจจริงๆ มันคือปากท้อง คืออนาคตของประเทศ เราพูดจริงๆ บางคนจะคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว เลือกตั้งอีกแล้ว จริงๆ มันเป็นการกำหนดทิศทางของประเทศที่จะเดินไป ทำเพื่ออนาคตของคนรุ่นต่อไป เราคิดกันแบบนี้จริงๆ เราไปต่างประเทศเจออะไรหลายๆ อย่าง ประเทศไทย 10 ปี 20 ปีที่แล้ว รถยนต์ยังมีการพัฒนา แต่ตอนนี้การศึกษา โรงเรียน โรงพยาบาลยังเหมือนเดิม เราอยากทำอะไรที่มันมีประโยชน์ในยุคดิจิตอลมาก การสื่อสารค่อนข้างไว รู้สึกเราช่วยตรงนี้ได้ก็จะทำ"
พรรคเพิ่งตั้งไม่นาน การรวบรวมคนรุ่นใหม่เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
เรื่องระยะเวลาไม่ใช่เป็นตัวที่จะบอกว่าผลเป็นอย่างไร แต่ละคนที่ผู้ใหญ่มองเห็นมีความถนัด มีประสบการณ์ในการทำงานระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าเราโชคดีที่เรามาเจอกัน บางคนไม่รู้จักกัน แต่พอมาเจอแล้วรู้สึกว่าทิศทางในความคิดคล้ายกัน เป้าประสงค์ตรงกัน เลยเข้ากันได้เร็ว ไปกันได้เร็ว ตรงนั้นมากกว่า เวลาไม่ได้เป็นตัวบอกว่ารู้จักกันมา 5 ปีจะดีกว่ารู้จักกันมา 3 เดือน ไม่เกี่ยว ไม่อยากใช้คำว่าอุดมการณ์มันดูเหมือนการเมืองเกินไป ผมว่าแนวคิดมันเหมือนกัน แล้วเรามีเป้าประสงค์เดียวกันว่าอยากทำให้ประเทศ สังคมแห่งนี้ที่เราอยู่มาตั้งแต่เราเกิดให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ให้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไม่มากก็น้อย เราใหม่ทางการเมืองจริง แต่เรามีความตั้งใจจริง เรารู้สึกว่าประสบการณ์ที่เราทำธุรกิจมา 10 กว่าปี เราคิดว่าประสบการณ์ทำงานเราพร้อมทำได้ ถ้าเราได้โอกาส แล้วในพรรคให้โอกาสจริงที่เราได้นำเสนอ
"เชื่อว่าตรงนี้มีความสำคัญมากกว่าระยะเวลา ทุกคนก็ทราบเราเลือกตั้งมากี่ครั้ง ส.ส.หน้าเป็นยังไง ก็หน้าเดิมๆ แล้วตอนนี้คนรุ่นใหม่เป็นยังไง พรรคแต่ละพรรคเปิดมาคนรุ่นใหม่-ใช่ แต่นามสกุลเป็นยังไง พรรคมีเจ้าของไหม แต่พรรคเราไม่มี พรรคเราเป็นของทุกคน แต่พรรคอื่นมีใครเป็นเจ้าของ อันนี้ผมพูดภาพกว้าง ถ้าระยะเวลามันเป็นคำตอบที่ผมอยากจะสื่อว่า เราจะเอาระยะเวลาในการมารวมตัวกันบอกว่าเราจะดีกว่าชัดเจนกว่าไม่ได้ ผมอยากให้เป็นแนวคิดที่รู้สึกว่าเราคิดในแนวทางเดียวกัน ไปด้วยกันได้มากกว่า อาจไม่ตรงคำถามมาก แต่จะสื่อว่าเราไปในทิศทางเดียวกัน มีแนวทางชัดเจน คนรุ่นใหม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ได้โดนครอบงำ"
มารวมกันได้เพราะมีผู้ใหญ่ในพรรคแนะนำมาหรือไม่?
ผู้ใหญ่เค้าต้องดูว่าใครมีจุดเด่นตรงไหน ทำได้จริงไหม เรื่องผู้ใหญ่แนะนำก็คงต้องมีเป็นธรรมดา เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีคำว่าโอกาส โอกาสตรงนี้ไม่ได้เปิดกว้างให้กับคนทั่วไปได้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้ามาในจุดนี้ได้ง่ายๆ ผมก็เลยคิดว่าตรงนี้คือโอกาสมากกว่า
การมาทำงานตรงนี้มีนโยบายอะไรที่จะนำเสนอพี่น้องประชาชน?
นโยบายคงยังบอกอะไรไม่ได้ เราแต่ละคนมีความสนใจค่อนข้างหลากหลาย เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะมีความเจาะลึกในส่วนที่มีความชำนาญ แต่ถามว่าตอนนี้มีนโยบายอะไร ต้องรอย่อยสรุปกันมาถึงจะบอกได้ แต่พวกเรามีความสนใจไม่เหมือนกัน บางคนเหมือนกันก็มาแชร์กัน ไม่รู้ก็จะลงพื้นที่ดูปัญหา ไม่ใช่ดูข้างบนอย่างเดียว นั่งคิดใช้ความรู้สึกตัวเองอย่างเดียว เรื่องนี้มีความสำคัญ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอก ได้รู้พร้อมกันแน่นอน
ส่วนตัวสนใจเรื่องไหน ได้นำเสนอพรรคไปหรือยัง?
ผมคิดว่าส่วนที่สนใจคือสาธารณสุข เป็นประสบการณ์เรามากกว่า อีกส่วนที่สนใจคือเรื่องการศึกษา เกษตร ทั้ง 3 ส่วนเป็นพื้นฐานของมนุษย์จริงๆ สาธารณสุขคือเรื่องสุขภาพ ถ้าเด็กได้รับการศึกษาที่ดีคืออนาคต เกษตรคือพื้นฐานเศรษฐกิจของเมืองไทย ถ้าเราเชื่อมโยงทั้งสามเป็นอะไรที่ดูน่าสนใจ การช่วยตรงอื่นเราสามารถที่จะลองเข้าไปดูว่าตรงไหนเรามีความสามารถ มีธุรกิจทำงานบริหารมา จัดการมา ตรงนี้ไม่ว่าจะงานอะไรถ้าเราตั้งใจก็มีโอกาส
หากถูกกระแสโจมตีเรื่องการรับใช้เผด็จการ สนับสนุน คสช. จะอธิบายอย่างไร?
ผมอยากบอกว่าก่อนหน้านี้ที่จะมีพรรคเรา ก็จะมีสีโน้นสีนี้ มันเป็นวาทกรรมพยายามแบ่ง อะไรที่ตัวเองได้เปรียบก็อยากจะพูดในตรงนั้น ถ้าบอกว่ามาสืบทอด มาแบ่งประชาธิปไตยกับไม่ประชาธิปไตย ถ้าอย่างนั้นการเลือกตั้งไม่เกิด เขาจะไม่ปล่อยให้การเลือกตั้งเกิด แต่ครั้งนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว ค่อนข้างชัดเจนว่า 3-4 เดือนมีการเลือกตั้งแน่นอน ถ้าบอกว่าอันนี้เผด็จการ อันนั้นประชาธิปไตย มันเป็นวาทกรรมที่ทำให้เกิดการแบ่งว่าเลือกอะไร ผมว่าตรงนี้มันดูตีกรอบไป ถ้าเขาอยากจะเผด็จการต้องอยู่ต่อไปอีก 5 ปี แต่ตอนนี้เขาก็ให้แล้ว กลับมาเลือกตั้งแล้ว ถ้าเกิดว่าประชาชนหรือเสียงทุกคนบอกว่าชอบลักษณะแบบนี้ ผมว่าเขาก็เลือกได้
ตอนนี้เข้าโหมดประชาธิปไตยแล้ว ก่อนหน้านี้ทุกคนก็เรียกร้องเพราะมันไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่ปรองดอง ทหารถึงต้องเข้ามาเคลียร์ให้ ไม่งั้นทุกคนจะอยู่ยังไงถ้ามันไม่นิ่ง อันนี้เราพูดแบบไม่เข้าข้างอะไร เพราะมิฉะนั้นมันไม่จบ นี่ก็เดิน นั่นก็ยิง นั่นก็เผา ทุกแบบ ถ้าเขาเอาตรงนี้มาเป็นประเด็นเผด็จการกับประชาธิปไตย มันจะยิ่งตอกย้ำสิ่งเดิมๆ เก่าๆ กลับมาอีกแล้ว ผมว่าการพูดแบบนี้ทำให้เราไปย้ำกับประเด็นเก่าๆ ตอนนี้เราต้องเดินหน้า เรื่องที่ผ่านมาแล้วเราต้องลืม การที่ยิ่งย้ำว่าเผด็จการกับประชาธิปไตยมันยิ่งสร้างความแตกแยกเข้าไปอีก เราต้องกลับมาสร้างความปรองดอง สร้างให้มันเป็นประเทศไทยประเทศเดียว เพียงแต่ว่าใครจะเลือกใครอันนั้นแล้วแต่
"เราเป็นทางเลือกที่ว่าถ้าคุณไม่อยากมีกีฬาสีลองเลือกเราดู เราไม่ได้บอกว่าเราจะทำให้สงบ แต่เราเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าจะเป็นทางออก ก่อนหน้านี้ทุกคนก็แยกกันสีนี้ แต่เราไม่ใช่สี เราอยากเป็นสีเดียว ไม่งั้นก็เป็นแค่สองอันที่ทุกคนทราบ ไม่พรรคนี้ก็พรรคนี้ เราคิดว่าเราเป็นอีกพรรคหนึ่งที่ดูแล้วเรามีกำลังทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าผสมผสาน มีให้พวกผมคอยเชื่อมระหว่างรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ภาพพวกเราชัดแล้วเรากล้าตอบ เผด็จการกับประชาธิปไตยผมว่าอย่าแยกครับ ผมคิดว่าอย่าเอาตรงนี้มาแยกกัน เพราะแยกกันก็จะมาตีกันอีกแล้ว ทะเลาะกันแล้ว เลือกตั้งก็คือเลือก ถ้าแบ่งมันไม่จบ มันจะวนมาลูปเดิม"
อยากฝากอะไรถึงพี่น้องประชาชน?
ผมคิดว่าตอนนี้ถ้าทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง รอบนี้เป็นโอกาสที่สำคัญ เราไม่ได้เลือกตั้งกันมานาน เรารู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างค่อนข้างชัดเจน และไปสู่แนวทางที่เราจะต้องมีการเลือกตั้ง ผมอยากจะเชิญชวนทุกคนเลย เลือกเราก็ได้ เลือกใครก็ได้ แต่อยากให้ออกมาอย่างอิสระ อยากให้ได้รับข้อมูล อยากให้ทุกคนรู้ตัว มีความตระหนักรู้ว่าการเมืองเป็นของทุกคนจริงๆ ไม่ใช่ของนักการเมือง การเมืองอยู่กับเราทุกคนเหมือนชีวิตประจำวัน ผมว่าตรงนี้ถ้าเราได้ร่วมแล้วเสียงออกมาจะสะท้อนถึงความต้องการจริงๆ ว่าทุกๆ คนอยากได้อะไร ทุกๆ คนอยากให้ประเทศเราเป็นอย่างไร แล้วทุกๆ คนอยากจะมีอนาคตเป็นอย่างไร ตรงนี้สำคัญ.
ตี๋-คมสัณห์ ฐานะโชติพันธ์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รหัส 42 และปริญญาโทคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รหัส 47 มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการ, การบริหารงานและการขาย, วิเคราะห์ตลาด ผ่านประสบการณ์การทำงานจากบริษัทหลายแห่ง อาทิ Kress Pharma Company Limited, Seven Stars Pharmaceutical Company Limited, Himmed Company Limited, SSP Biotech.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |