แม้วโผล่/เขมรเลิกพาสปอร์ตทูต


เพิ่มเพื่อน    

    "ทักษิณ" ผู้ต้องหาหนีคดีโผล่เล่นบทกูรูเศรษฐกิจ ฟันธงเศรษฐกิจโลกน่าเป็นห่วงยาวถึงปี  2020 แนะชาวนาต้องเร่งฝึกตัวเองให้เป็นนายหุ่นยนต์ ยุให้สู้อย่าหนี ขณะที่สื่อกัมพูชาเผย ฮุน เซน  ออกคำสั่งให้เก็บคืนและยกเลิกหนังสือเดินทางทูตทั้งหมดที่ออกให้คนต่างชาติที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชา นักวิเคราะห์ชี้เกี่ยวโยงข่าว "ยิ่งลักษณ์" ใช้พาสปอร์ตเขมรจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกง 
    นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายมุมมองเศรษฐกิจในหัวข้อ "รู้ให้ทันเพื่อรับมือกับโลก 2020" ผ่านทาง www.thaksinofficial.com เป็นครั้งแรก เนื้อหาในรายการบางตอนระบุว่า "โลกมันเปลี่ยนไปเร็วจริงๆ เศรษฐกิจโลกน่าเป็นห่วง สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องเศรษฐกิจในปลายปีนี้ ต่อด้วยต้นปีหน้า ค.ศ.2020 บังเอิญว่ามันเป็นวัฏจักรของระบบการเงินโลกที่น่าจะมีปัญหา เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหา จะอ่อนแอลง หรือว่าเกิดภาวะวิกฤติ ซึ่งจะเป็นแรงกระแทกใหม่ต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งหนีไม่พ้นเพราะว่าเราคือส่วนหนึ่งของโลก เราคงจะหนีภาวะนี้ไม่ได้" 
    เขาบอกว่า "เศรษฐกิจอเมริกาปีหน้าก็น่าจะอ่อนตัวลงด้วยเช่นกัน เลยเป็นห่วงประเทศไทย วันนี้เรายังไม่ได้ปรับตัวและก็อ่อนแออยู่ด้วย โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานล่างเราอ่อนแอมาก ก็เลยคิดว่าถ้าโดนเที่ยวนี้เราจะป้องกันกันอย่างไร ก็แสดงความกังวลไว้ก่อน ที่สำคัญคือว่าระบบการเงินโลกก็ดี ระบบเทคโนโลยีก็ดี หรือว่าวิธีการทำมาหากินด้วยโครงสร้างทางธุรกิจแบบใหม่ก็ดี มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปรับตัว ถ้าไม่ปรับตัวมันจะลำบาก เพราะว่าความเชื่อมโยงของโลกมีมาก บริษัทระดับโลกก็หากินข้ามชาติมาถึงประเทศไทย บริษัทระดับชาติของประเทศไทยก็หากินข้ามจังหวัดไปจนถึงชนบท เพราะฉะนั้นคนตัวเล็กในชนบทจะเริ่มทำมาหากินลำบากขึ้น คนตัวเล็กขนาดกลางก็เริ่มเหนื่อยขึ้น เพราะถ้าไม่ใหญ่จริงจะไปรอดยาก คือมิติที่จะเกิดขึ้น"
    "มันมีทางเดียวคือต้องปรับตัวให้คนข้างล่างรวมตัวกันแข็งแรง เลยคิดว่าประเทศไทยวันนี้จะทำยังไงถึงจะรวมตัวเล็กๆ ของเรา ไม่ใช่จะเอามารวมกัน แต่ว่าเอาเทคโนโลยีถักร้อยให้รวมกัน ให้บริษัทเล็กๆ เหล่านี้แข็งแรงได้ เรื่องที่ผมเคยคิดไว้เมื่อสมัยก่อน Brand Thailand คิดถึงเรื่องของระบบแอปพลิเคชัน ที่มันจะทำให้เกิด Sharing Economy หรือเกิดการทำให้เอาสิ่งที่เรามีอยู่มารวมกันเหมือนเป็นบริษัทใหญ่ แต่ไม่ใช่บริษัทใหญ่ แต่เป็นต่างคนต่างทำมาหากิน ต่างคนต่างมีรายได้ แต่ใช้เทคโนโลยีร้อยรวมเข้าหากัน อันนี้จะต้องรีบต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็แข็งแรงสู้เขาไม่ได้ ไม่ให้หุ่นยนต์แย่งงานก็ต้องฉลาดกว่า"
    นายทักษิณระบุอีกว่า "อีกเรื่องนึงที่ได้พูดถึงไป ก็คือเรื่องตัวเทคโนโลยีที่พูดถึงหุ่นยนต์ เค้าบอกว่าปี 2045 หุ่นยนต์จะมีความฉลาดเท่ากับมนุษย์ ที่มีสมองเท่ากับสมองเฉลี่ยของโลก คือถ้าใครมีสมองต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ก็โง่กว่าหุ่นยนต์ ถ้าใครสมองฉลาดกว่าค่าเฉลี่ยก็จะเก่งกว่าหุ่นยนต์ เพราะว่าเค้าใส่โปรแกรมเข้าไปทำให้หุ่นยนต์เรียนรู้ได้ตลอดเวลา สามารถเรียนรู้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในประเทศที่ไม่เจริญทางเทคโนโลยี ก็จะมองหุ่นยนต์เป็นตัวมาแย่งงานคนทำ แต่ส่วนประเทศที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีก็จะมองว่าหุ่นยนต์มาช่วยทำให้คนสามารถไปทำงานที่สำคัญกว่า งานจำเจซ้ำซ้อน พวกงานประจำเนี่ยก็ให้หุ่นยนต์ทำก็ได้ คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
    ประเทศไทยเราควรจะต้องฝึกคนให้เป็นนายหุ่นยนต์ อย่ามานั่งรอให้หุ่นยนต์มาไล่เราออกจากงาน นั่นก็คือฝึกการใช้โปรแกรมด้าน AI หรือ artificial intelligence และฝึกการใช้หุ่นยนต์ บังคับหุ่นยนต์ให้ทำงานต่างๆ เพราะว่าแม้กระทั่งชาวนา อีกหน่อยหุ่นยนต์ก็จะมาหว่านข้าวเกี่ยวข้าวได้ ตัวนึงก็ไม่แพง เพราะฉะนั้นแล้วชาวนาของเราจะทำไง ก็ต้องฝึกดิ เราอย่าไปหนีมัน ต้องสู้กับมัน คือหลักของผม คืออย่าไปหนีอะไรเลย สู้กับมันดีกว่า ง่ายกว่า ง่ายกว่าหนี เพราะฉะนั้นผมคิดว่าวันนี้ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมตรงนี้
    ต่อไปสุขภาพมนุษย์จะแข็งแรงขึ้น จะมียุคที่เรียกว่า มี Human Spare Parts คือมีอะไหล่มนุษย์ มนุษย์เราเนี่ยเค้าบอกว่าอะไหล่ทุกชิ้นเนี่ยเปลี่ยนได้หมด ยกเว้นตัวสมอง ตัวหัวใจ ตับ ไต ไส้พุง เปลี่ยนได้หมด เพราะฉะนั้นยุคที่มันกำลังจะเข้ามาวันนี้ ก็คือยุคของการใช้ DNA การใช้ฟิสิกส์แทนยา การเปลี่ยนอะไหล่มนุษย์ มนุษย์อายุยืนขึ้น ต้องออกแบบเศรษฐกิจใหม่มารองรับ เพราะฉะนั้นมนุษย์จะมีอายุยืนยาวขึ้น เมื่อก่อนเราพูด 100 เป็นเรื่องตื่นเต้น ตอนนี้เค้าพูดถึง 120 เพราะฉะนั้นอยู่ยังไงให้มีคุณภาพ อยู่ยังไงไม่ให้เป็นภาระลูกหลาน คือสิ่งที่เราจะต้องดูแลกันเอง 
    เพราะฉะนั้นสังคมไทยต้องเตรียมสังคมของคนสูงอายุไว้ ต้องปรับตัวอย่างแรงในเรื่องการออกแบบเศรษฐกิจธุรกิจ ออกแบบเศรษฐกิจประเทศ ออกแบบการดูแลผู้คน ออกแบบสวัสดิการของมนุษย์ทั้งหลาย ขอกราบลาไปแค่นี้ แล้ววันหลังจะมาพูดกับพี่น้อง จะพยายามเล่าอะไรให้ฟังให้เป็นความรู้ดีกว่า เรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ก็ไม่ค่อยอยากเสียเวลาพูด เราพูดกันแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตพวกเราดีกว่า วันนี้ขอกราบลาแค่นี้ครับ"
    รายงานในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ออกจดหมายความยาว 2 หน้ากระดาษเมื่อวันพุธที่แล้ว สั่งการถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการออกหนังสือเดินทางทูตแก่ชาวต่างชาติ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการเมืองและสถาบันของรัฐบาล ให้เก็บคืนหนังสือเดินทางทูตที่ออกแก่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชา แล้วให้ส่งคืนกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศภายในเวลา 1 เดือน เพื่อยกเลิกหนังสือเดินทางทูตเหล่านี้
    หนังสือซึ่งพนมเปญโพสต์ได้รับเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กล่าวว่า ชาวต่างชาติบางคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและสถาบันของรัฐ ได้กลายเป็นคนสัญชาติกัมพูชาและได้ขอหนังสือเดินทางทูต แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หนังสือเดินทางทูตถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในกฤษฎีกาย่อยปี 2551 รัฐบาลจึงสั่งห้ามออกหนังสือเดินทางทูตกัมพูชาแก่ผู้ที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชา เว้นแต่ว่าจะเป็น "กรณีจำเป็นที่สุด" 
    คำสั่งที่ลงนามโดยนายกฯ ฮุน เซน กล่าวด้วยว่า ภายหลังกระทรวงและสถาบันทั้งหลายที่ออกหนังสือเดินทางทูตแก่ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เป็นชาวกัมพูชาโดยกำเนิด ได้เรียกคืนพาสปอร์ตเหล่านี้และส่งให้กระทรวงการต่างประเทศ ภายในเวลา 1 เดือนนับแต่วันที่ลงนามคำสั่งนี้แล้ว กระทรวงการต่างประเทศก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบและยกเลิกหนังสือเดินทางที่ได้ออกไปแล้ว ขณะเดียวกัน คำสั่งนี้ยังสั่งโดยตรงถึงกระทรวงมหาดไทยให้ป้องกันการนำพาสปอร์ตทูตในการเดินทางเข้าและออกจากกัมพูชาด้วย 
    โพสต์อ้างคำกล่าวของเขต โสพัน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า กระทรวงได้ร้องขอให้นายกฯ ฮุน เซน ออกคำสั่งนี้ถึงกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้เรียกเก็บพาสปอร์ตที่ออกให้ที่ปรึกษาและผู้ช่วยที่เป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชาแล้วส่งคืนภายใน 1 เดือน แต่เขาปฏิเสธจะเปิดเผยว่า รัฐบาลจะดำเนินการเช่นใดกับชาวต่างชาติที่ยังคงนำพาสปอร์ตแบบนี้ไปใช้งาน
     สื่อกัมพูชากล่าวด้วยว่า คำสั่งนี้มีออกมาไล่หลังรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์จากฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่หลบหนีโทษจำคุก 5 ปี คดีรับจำนำข้าวที่ทำให้ไทยสูญเงินไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ได้ใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการยื่นจดทะเบียนเป็นผู้อำนวยการบริษัทแห่งหนึ่งในฮ่องกงเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แต่รัฐบาลกัมพูชายังคงยืนกรานปฏิเสธว่า กัมพูชาไม่ได้ออกพาสปอร์ตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่สื่อบางสำนักรายงานว่าใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการหลบหนีออกนอกประเทศก่อนคำพิพากษาจำคุกเมื่อปี 2560 
    ด้านพัต โสพานิต โฆษกกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า กระทรวงไม่ได้ควบคุมดูแลการออกหนังสือเดินทางทูต ออกแต่เพียงหนังสือเดินทางปกติ ฉะนั้นจึงไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดว่ามีการออกหนังสือเดินทางทูตไปกี่ฉบับ กระนั้น กระทรวงจะปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
    คิน เพีย ผู้อำนวยการใหญ่ของสถาบันวิเทศสัมพันธ์ ของราชบัณฑิตยสภากัมพูชา กล่าวว่า คำสั่งฉบับนี้อาจเกี่ยวโยงกับรายงานข่าวเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือเป็นเรื่องของกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเดินทางทูต แต่รัฐบาลกัมพูชาได้ปฏิเสธรายงานของสื่อเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปแล้ว และกัมพูชาไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ หากรัฐบาลไทยไม่ได้ร้องขอความร่วมมือเกี่ยวกับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 
    "ผมคิดว่าการปฏิเสธของกระทรวงนั้นเพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องสอบสวน หากเรื่องนี้ไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทย" เขากล่าว. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"