เขาหาว่าคนไทยเป็น อย่างนั้นอย่างนี้!


เพิ่มเพื่อน    

    มีคนส่งข้อความนี้มาให้ผม อ้างว่าเป็นแนววิเคราะห์ของ Jack Ma เจ้าของและซีอีโอของ Alibaba เกี่ยวกับวิธีคิดของเขาต่อประเทศไทย
    ผมอ่านแล้วก็บอกได้ว่าน่าสนใจ แต่เช็กแล้วไม่อาจจะยืนยันว่าเจ้าของอาลีบาบาคนนี้ไปพูดเอาไว้ที่ไหน หรือเป็นข้อความจริงๆ หรือไม่
    แต่เมื่อได้อ่านแนวทางวิเคราะห์เกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศแล้วก็เห็นว่าน่าจะถ่ายทอดผ่านคอลัมน์นี้ถึงพี่น้องร่วมชาติทุกคน
    จะเห็นความเห็นของ Jack Ma จริงหรือไม่ดูจะไม่สำคัญเท่ากับว่า คนบางคนที่เขาพยายามจะเข้าใจประเทศไทย มีความเห็นเกี่ยวกับเราอย่างนี้
    ทุกประเด็นที่เขายกขึ้นมาล้วนแล้วแต่ทำให้คนไทยเราต้องคิดทบทวนและประเมินตัวเองใหม่
    และไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ หรือประเด็นที่เขาวิพากษ์นั้นตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ ล้วนแล้วแต่เป็นกรณีที่น่าใคร่ครวญศึกษาทั้งสิ้น
    ข้อความนั้นเขียนไว้อย่างนี้ครับ
    1.ทุกประเทศอยากให้สินค้าในบ้านตัวเองแพง เช่น อาหรับอยากให้น้ำมันแพง ญี่ปุ่นอยากให้เนื้อโกเบแพง ยกเว้น ‘ประเทศไทย’ อยากให้ข้าวราคาถูก
    2.ทุกประเทศอยากให้สัญชาติตัวเองกับคนเก่ง
    แต่ประเทศไทยไม่อยากให้สัญชาติไทยกับคนเก่ง จนคนเก่งๆ ไปเป็นสัญชาติสิงคโปร์หมด แม้โค้ชเกาหลีที่พาไปได้เหรียญ ไทยก็ยังไม่ให้สัญชาติ ซึ่งแปลกมาก
    3.ทุกประเทศแก้ปัญหาความวุ่นวายด้วยการสร้างวินัย
    แต่ ‘ประเทศไทย’ ใช้วิธีสร้าง ‘กฎหมายใหม่’ แต่หย่อนในการบังคับใช้ และวินัยยังเป็นปัญหา
    4.‘ประเทศไทย’ เกลียดทุนนิยม
    แต่เศรษฐกิจทั้งโลกพึ่งพิงระบบทุน การคิดสวนทิศทางโลก แต่วัดผลตามทิศทางโลก คือ เศรษฐกิจ GDP จะไม่มีทางสำเร็จ ยกเว้นจะไปวัดผลอย่างอื่นแทน เช่น ความสุข
    5.‘ประเทศไทย’ ไม่เก่งเรื่องส่งออกคนเก่ง และกลัวคนเก่งมาแย่งงานในประเทศ..แม้อยู่กลาง ASEAN คนเก่งทั่วโลกอยากมาทำงาน
    6.ไทยเป็นเมืองหลวง Facebook แต่ที่ตั้ง Server จดทะเบียนบริษัท และภาษีทั้งหมดจ่ายที่สิงคโปร์ เงินภาษีหายไปจำนวนมาก
    7.คนไทยใช้เวลาพูดเรื่องประชาธิปไตย มากกว่าการเคารพสิทธิ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
    8.‘ประเทศไทย’ จะแข็งแกร่งมากหากใช้ยุทธศาสตร์ ‘อ่อนนอกแข็งใน’ คือ ต้องไปกับประเทศในโลกได้ และบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัด สร้างวินัยให้คน และที่สำคัญที่สุดคือ “เรื่องการศึกษา”
    หากอ่านประเด็นวิพากษ์คนไทยชุดนี้แล้วรู้สึกเจ็บๆ คันๆ ก็สมควรที่เราจะต้องถามตัวเองว่าที่เขาวิเคราะห์หรือวิพากษ์เราอย่างนี้มีส่วนที่เป็นจริงอยู่มากน้อยเพียงใด
    ผมไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนแสดงความเห็นชุดนี้เกี่ยวกับประเทศไทย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามคงจะเป็นคนที่มาสัมผัสประเทศเราอยู่ในระดับหนึ่งทีเดียว หรือไม่ก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับไทยอยู่ไม่น้อย เพราะหลายๆ ประเด็นที่เขาพูดถึงเรานั้นค่อนข้างจะตรงกับที่คนไทยเรากันเองบ่นอยู่เนืองๆ 
    ที่ต่างกันระหว่างคำวิพากษ์จากข้างนอกกับ “เสียงบ่น” ของเราว่าด้วยจุดอ่อนจุดด้อยของประเทศไทยนั้นก็คือ คนข้างนอกคาดหวังว่าเราจะแก้ “จุดอ่อน” ที่เขาเห็นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศที่เขาชื่นชอบและอยากคบหา
    คนไทยเองจะบ่นถึงจุดอ่อนของตัวเองเป็นงานอดิเรก และบ่อยครั้งยอมรับว่าไม่มีทางจะแก้ไขอะไรได้ เพราะ “มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอของเราไปแล้ว”
    แต่ผมยืนยันว่าทุกประเด็นที่เขาวิพากษ์เรานั้นมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย และหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อใดไม่จริง เป็นเพียงความเข้าใจผิดของคนข้างนอกที่ไม่เข้าใจคนไทยจริงๆ ก็ควรที่เราจะออกมาแก้ต่างด้วยเหตุและผลอย่างขึงขัง
    เพราะหาไม่แล้ว เขาก็จะถือว่าเรายอมให้ “จุดอ่อนประจำชาติ” ของเรายังดำรงอยู่อย่างเรื้อรังต่อไปโดยไม่สนใจจะแก้ไขให้กลายเป็นอดีตไป
    อย่างที่เพื่อนคนจีนคนหนึ่งบอกกับผมวันหนึ่งว่า
    “ผมอยู่เมืองไทยมานาน ผมยอมรับว่าคนไทยเป็นคนรักพวกพ้อง แต่ไม่รักชาติ”
    ผมฟังแล้วอึ้งไปนาน...ยังพยายามจะหาเหตุผลที่จะแย้งเขาให้อยู่หมัด ใครมีประเด็นตอบโต้ข้อวิพากษ์นี้ช่วยบอกผมด้วยครับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"