สัปดาห์ก่อนคริสต์มาสช่วงวันหยุดยาวเริ่มเกิดกระแสข่าวประธานาธิบดีทรัมป์จะปิดหน่วยงานรัฐบางส่วน (หรือเปิดบริการเพียงบางส่วน) ขึ้นกับเดโมแครตจะยอมผ่านงบประมาณสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโกจำนวน 5,700 ล้านดอลลาร์หรือไม่ ปรากฏว่าการเจรจาไม่สำเร็จ หน่วยงานรัฐเริ่มปิดตัว มีผู้ให้ความเห็นทันทีว่าอาจยาวไปถึงหลังปีใหม่
ทรัมป์เอ่ยเรื่องสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐกับเม็กซิโกตั้งแต่ช่วงหาเสียงและผลักดันเรื่อยมา แต่พรรคเดโมแครตซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามไม่เห็นด้วยเรื่อยมาเช่นกัน
ผลโพลระบุว่าคนอเมริกันร้อยละ 55 โทษทรัมป์กับพรรครีพับลิกันที่ปล่อยให้หน่วยงานรัฐปิดตัว ร้อยละ 35 โทษพรรคเดโมแครต อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 80 ของคนที่เลือกทรัมป์เป็นประธานาธิบดีเห็นว่าทำถูกต้องแล้ว
การปิดหน่วยงานรัฐสร้างปัญหาแก่ชาวอเมริกัน 800,000 คน แต่มีวิกฤติอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้น
แผนของทรัมป์ สร้างความหวาดกลัวและวิกฤติ :
รัฐบาลทรัมป์ยืนยันต้องสร้างกำแพงให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องปิดหน่วยงานรัฐอีกนานเพียงไร ชี้ว่าพวกเดโมแครตเป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมจากคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ชาวอเมริกากันต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง สังคมแห่งความยุติธรรมกับอยุติธรรม
ฝ่ายเดโมแครตชี้ว่าพร้อมให้งบประมาณเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคงตามแนวพรมแดน แต่ไม่ใช่ด้วยการสร้างกำแพง ปล่อยให้คนอเมริกันต้องจ่ายภาษีหลายพันล้านดอลลาร์สร้างกำแพงที่ไม่น่าจะช่วยกันคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีพูดว่าเม็กซิโกต้องเป็นคนจ่าย
เมื่อเดโมแครตไม่ยอมผ่านร่างงบประมาณ ทรัมป์จึงหาทางเพิ่ม คิดประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ (national emergency) ใช้อำนาจนี้สั่งสร้างกำแพง
แนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi) โฆษกสภาผู้แทนฯ จากเดโมแครตชี้ว่า ประธานาธิบดีพยายามปั่นหัวให้คนกลัว สร้างวิกฤติ อ้างความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ได้งบประมาณที่ต้องการ ทั้งๆ ที่ไม่มีวิกฤติตามที่กล่าวอ้างเลย
มุมมองนี้อธิบายได้ว่า ประธานาธิบดีมีเจตนาอยากได้งบประมาณสร้างกำแพง เริ่มด้วยการอ้างเหตุผลความจำเป็น แต่ทรัมป์รู้ว่าพรรคเดโมแครตจะค้าน จึงหวังอาศัยพลังประชาชนผลักดันให้ผ่านงบประมาณ ด้วยการชี้แจงเหตุผลนานัปการ เหตุผลบางข้อถูก แต่หากพิจารณารายละเอียดหลายข้อร้ายแรงเกินจริง บางข้อพูดจริงเพียงครึ่งเดียว บรรยายภาพให้คนอเมริกันกลัวคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทำให้คิดว่าคนเหล่านี้คืออาชญากรร้ายแรง ขายยาเสพติดและทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตเพราะยาเสพติด ฯลฯ รวมความแล้วคนเข้าเมืองผิดกฎหมายบั่นทอนความมั่นคงประเทศอย่างร้ายแรง
แผนขั้นต่อมาคือสร้างวิกฤติต่อประชาชนด้วยการประกาศว่าจะไม่ยอมลงนามร่างงบประมาณหากไม่ได้งบสร้างกำแพง เมื่อร่างงบฯ ไม่ผ่าน เงินเดือนไม่ออก พนักงานลูกจ้างรัฐ 800,000 คนไม่ได้รับเงินเดือน มีการเจรจาระหว่างทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน) กับฝ่ายค้านหลายรอบแต่ไม่สำเร็จ ทรัมป์ยืนยันว่าจะต้องได้เงินสร้างกำแพง มิเช่นนั้นจะปิดหน่วยงานรัฐต่อไปนานเท่านาน ในอีกความหมายคือ 800,000 คน (ถ้านับพ่อแม่ลูกเมียที่ต้องเลี้ยงดูจะมากกว่านี้) ไม่ได้รับเงินเดือน หลายครอบครัวกำลังประสบวิกฤติการเงิน
ทรัมป์ชี้ว่าเหตุที่หน่วยงานรัฐบางส่วนต้องปิดต่อไปนั่นเพราะพรรคฝ่ายค้านไม่ยอมให้สร้างกำแพง คำถามคือเป็นการถูกต้องหรือไม่ที่รัฐบาลใช้วิธีนี้ เป็นการจับคนอเมริกันมาเป็นตัวประกันข่มขู่ฝ่ายค้าน
วิกฤติความคิดความเข้าใจ อะไรจริงอะไรเท็จ :
ทรัมป์กล่าวว่า “ปราศจากกำแพงจะไร้ความมั่นคงตามแนวพรมแดน” วิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล
Craig Fugate อดีต ผอ.สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (Federal Emergency Management Agency : FEMA) ให้ความเห็นว่ากำแพงไม่สามารถกั้นการเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีอีกหลายวิธีที่จะช่วยบรรเทาปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดได้ดีกว่าและประหยัดกว่าการสร้างกำแพง
ทรัมป์พยายามทำให้เข้าใจว่าถ้ามีกำแพงแล้วคนเข้าเมืองผิดกฎหมายจะหมดไป ความจริงคือการเข้าเมืองผิดกฎหมายทำได้หลายทาง ไม่จำต้องเป็นทางบกเท่านั้น และแม้มีกำแพงใช่ว่าจะปีนผ่านหรือหลบเลี่ยงไม่ได้ ผลคือจะต้องมีเจ้าหน้าที่ มีระบบเฝ้าระวังตลอดแนวพรมแดน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แล้ว
เทคนิคหนึ่งที่ทรัมป์ใช้เสมอคือ พูดให้คนคิดง่ายๆ ตื้นๆ ไม่ต้องลงรายละเอียด ตอกย้ำไปเรื่อยๆ และให้เชื่อตามนั้น สวนทางกับโลกแห่งความจริงว่า หลายเรื่องมีรายละเอียดที่ต้องเอ่ยถึง หลายเรื่องที่ต้องคิดไตร่ตรองรอบคอบ แต่ผู้นำอย่างทรัมป์จะพูดแบบรวบรัด สร้างอารมณ์ให้คล้อยตาม และพูดสรุปว่าทำเช่นนี้แล้วอเมริกาจะยิ่งใหญ่อีกครั้ง
อีกประเด็นคือ ประธานาธิบดีทรัมป์ชี้ว่าเป็นความมั่นคงแห่งชาติ มี “วิกฤติที่พรมแดน” (crisis at the border) ถ้ายึดหลักความถูกต้องสมเหตุสมผล เกิดคำถามว่าฝ่ายใดถูกต้อง จำเป็นต้องสร้างใช่ไหม เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
คำถามย่อยคือ เรื่องความคุ้มค่า เช่น ควรใช้งบประมาณสร้างกำแพงหรือบริหารจัดการคนเข้าเมืองผิดกฎหมายด้วยวิธีอื่นๆ หรือนำงบฯ ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ
ทรัมป์ประกาศนโยบายสร้างกำแพงกั้นตั้งแต่ช่วงหาเสียง มีผู้ให้ความเห็นมากมาย บ้างเห็นด้วย บ้างไม่เห็นด้วย กลายเป็นคำถามว่า แล้วอย่างไรถูกต้อง เรากำลังพูดถึงประเทศที่มีความรู้ ข้อมูลมหาศาล มีนักวิชาการระดับโลกทุกแขนง แต่เหตุผลความรู้ที่น่าจะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศกลับไม่ถูกใช้ในการตัดสินนโยบายสำคัญของชาติ
หรือว่าเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยให้ฝ่ายการเมืองตัดสินใจโดยไม่ต้องยึดเหตุผลความถูกต้อง
นี่คือสภาพวิกฤติความจริงความเท็จ
ผู้นำประเทศที่พูดได้เรื่อยๆ :
ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าอดีตผู้นำหลายคนสนับสนุนตนเรื่องสร้างกำแพง ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ออกมาพูดว่า ตนไม่เคยคุยเรื่องนี้กับทรัมป์ และไม่สนับสนุนการสร้างกำแพง โฆษกประจำตัวของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน (Bill Clinton) จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) กล่าวว่า ไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กับทรัมป์ ส่วนทีมงานของบารัค โอบามา (Barack Obama) อ้างถ้อยแถลงเดิมว่า สหรัฐเป็นประเทศเปิด
การสร้างกำแพงเป็นเพียงประเด็นเดียวที่กำลังหยิบยกขึ้นมาพูด ในภาพรวมผู้นำสหรัฐยุคนี้เป็นผู้ที่พูดอะไรก็ได้ พูดไปได้เรื่อยๆ สื่อมวลชน นักวิชาการ นักวิเคราะห์ทั่วโลกต้องคอยตรวจทานทุกคำพูดของท่านว่าอะไรถูกอะไรผิด (Fact Check)
ในช่วงหาเสียงทรัมป์โดนโจมตีเรื่องพฤติกรรมชู้สาว ล่วงละเมิดทางเพศ ผู้หญิงหลายคนออกมาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะแต่ทรัมป์ปฏิเสธ เมื่อธันวาคมที่ผ่านมา ไมเคิล โคเอน (Michael Cohen) อดีตทนายความของทรัมป์ถูกศาลพิพากษาจำคุกเนื่องจากจ่ายเงินแก่สตรี 2 คนเพื่อปิดปากว่าเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทรัมป์ (ผิดกฎหมายเรื่องเงินที่ใช้กับการเลือกตั้ง)
โคเอนพูดต่อหน้าศาลว่า ตนมีหน้าที่ต้องจัดการเรื่องทำนองนี้ ด้านทรัมป์ชี้แจงว่าไม่เคยบอกให้โคเอนใช้วิธีผิดกฎหมาย ตนไม่ได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งใดๆ
ในขณะที่การเมืองอเมริกากำลังขับเคี่ยวอย่างเข้มข้น ไม่ว่าสังคมอเมริกันจะคิดเห็นอย่างไร ผู้คนทั่วโลกจำนวนมากไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อถือรัฐบาลอเมริกา นี่คือความถดถอยของประเทศนี้
สภาพขณะนี้คือ ฝ่ายการเมืองไม่สามารถตัดสินใจด้วยเหตุผล ฝ่ายที่เห็นว่าจำต้องสร้างยืนยันต้องสร้างให้จงได้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็คัดค้านหัวชนฝา พรรคเดโมแครตพยายามเสนอทางออกอื่นแต่พรรครีพับลิกันไม่ตอบรับ ผลโพลสรุปว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกำแพง แต่บางคนชี้ว่าผลโพลเชื่อถือไม่ได้ ล่าสุดรอดูว่าประธานาธิบดีจะใช้อำนาจสร้างกำแพงด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติหรือไม่
นี่คือภาวะวิกฤติประชาธิปไตยอเมริกา และจะร้ายแรงกว่านี้ถ้าทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉิน.
-------------------------
ภาพ : เป็นหน้าที่ต้องปกป้องพรมแดนและพลเมือง
ที่มา : https://www.facebook.com/DonaldTrump/photos/a.488852220724/10162005074890725/?type=3&theater
-------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |