ประยุทธ์สั่งลุยสู้นโยบายขายฝัน


เพิ่มเพื่อน    

  "ประยุทธ์" จวกพรรคการเมืองหาเสียงจะยกเลิกอีอีซีทั้งหมด สั่งสู้ทุกช่องทาง ให้ทุกหน่วยงานติดตามนโยบาย ชี้หลายเรื่องใช้งบฯ มาก ต้องดูปฏิบัติได้จริงหรือไม่ ป้องกันบิดเบือนไม่ให้ ปชช.สับสน โฆษกรัฐบาลแจงนายกฯ เบรกนโยบาย สปก.4-01 เป็นที่ดินทองคำของ พปชร. ถือว่าไม่ได้ตัดสินใจไปพรรคใด เครือข่ายผู้อยู่ในเขตป่าฯ ออกโรงหนุนจี้รัฐบาลดันเป็นวาระแห่งชาติ "พุทธิพงษ์" ปัดห้าม พท.ใช้สนาม อบจ.ปราศรัย โบ้ยเป็นอำนาจท้องถิ่น "หญิงหน่อย" ลั่นผู้สมัครจ่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย

    ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.30 น.วันที่ 11 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตอนหนึ่งว่า ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้ตัวเลขการลงทุนดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อย่างเดียวสูงถึงกว่า 6 แสนล้านบาท จึงขอให้ช่วยเร่งการสร้างการรับรู้ในพื้นที่อื่นด้วย พร้อมให้จัดทำสถิติการลงทุนรายภาค เผยแพร่เข้าสู่โซเชียลมีเดีย เพราะหากสร้างการรับรู้ในช่องทางเดิมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ 
    "ขณะนี้มีกระแสต่อต้านพอสมควร โดยเฉพาะมีคนอยากจะให้ยกเลิกอีอีซี โดยพรรคการเมืองยกเป็นนโยบายหาเสียง รวมไปถึงบอกด้วยว่าจะให้ยกเลิกทั้งหมด จะลดราคาค่าโดยสารรถเมล์และรถไฟ ซึ่งจะทำได้อย่างไร ดังนั้นจะต้องสู้เรื่องนี้กันให้ได้ในทุกช่องทาง และขอให้ทุกคนคอยติดตามกระแสต่างๆ ในโซเชียลมีเดียด้วย เพราะว่ามีผลและบทบาทสูงในเรื่องของทางการเมืองในปัจจุบัน" นายกฯ กล่าว 
    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายกฯ สั่งการให้แต่ละกระทรวงติดตามนโยบายของพรรคการเมืองว่า เนื่องจากขณะนี้สู่โหมดการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆ เปิดนโยบายหาเสียง ซึ่งหลายนโยบายไม่มีความชัดเจนในทางปฏิบัติว่าทำได้จริงหรือไม่ นายกฯ จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานได้ติดตามนโยบายต่างๆ ที่พรรคการเมืองนำเสนอ เพราะหลายเรื่องพูดถึงการใช้งบประมาณที่มากพอสมควร ซึ่งต้องคำนึงถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ประชาชนมองผิวเผิน แต่ต้องดูว่าปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จึงไม่อยากให้ประชาชนสับสน เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ นายกฯ จึงให้แต่ละกระทรวงติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะถ้ามีการบิดเบือนนโยบายของรัฐบาลหรือสิ่งที่รัฐบาลที่ได้ทำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงทันที
    ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้หมายถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ด้วยหรือไม่ ที่เสนอเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก.เป็นโฉนดให้เกษตรกร นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า นายกฯ สั่งการให้ติดตามนโยบายทุกพรรค ไม่ได้ระบุว่าเป็นพรรคไหน เพราะต้องการให้นโยบายต่างๆ นำไปสู่การปฏิบัติจริง ไม่ใช่จับต้องไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่ใช่จ้องจับผิดหรือตอบโต้ แต่มองในมิติของความมีอยู่จริง ซึ่งทุกพรรคมีสิทธิเสนอนโยบายต่างๆ ได้ แต่ต้องให้ความรู้ประชาชนประกอบด้วยว่าพรรคการเมืองจะนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงในทุกมิติหรือไม่ ถ้าคิดว่าทำได้ก็ดี
     นายพุทธิพงษ์กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเปลี่ยน สปก.4-01 กว่า 30 ล้านไร่ ให้เป็นที่ดินทองคำให้เกษตรกรของพรรค พปชร.ว่า ถือว่าเป็นจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่านายกฯ ยังไม่ได้รับการทาบทามจากพรรค พปชร. ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้อง และไม่ได้ตัดสินใจไปพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งถ้าดูจากแนวคิดดังกล่าว จะเห็นว่านายกฯ พูดอย่างหนึ่ง แต่พรรคทำอีกอย่างหนึ่ง แสดงว่าท่านไม่ได้เข้าไปวุ่นวายเกี่ยวข้องอะไรอย่างที่มีการกล่าวหา ส่วนเรื่องนโยบายนั้น ก็ต้องไปถามผู้บริหารพรรค พปชร.ที่เป็นผู้กำหนด 
    "รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่าการเสนอชื่อผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ ของพรรคใดพรรคหนึ่ง ต้องได้รับคำยินยอมจากท่านก่อน 1 คน สามารถไปได้แค่พรรคเดียว และไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค หรือต้องเข้าไปมีส่วนในการร่างนโยบายของพรรค ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องไปเกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้น อาจเป็นคนที่มีความสามารถ และเป็นคนที่สมควรเสนอชื่อ ดังนั้นนายกฯ จะทำอะไรก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผูกกัน ก็เหมือนกับคนทำงานอยู่ดีๆ แล้วมีคนเสนอชื่อไป ก็ไม่จำเป็นต้องออกจากงานประจำ" นายพุทธิพงษ์กล่าว 
จี้นายกฯ แปลง สปก.4-01
    ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นห่วงการนำเสนอนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ให้แก่เกษตรกร จะทำให้ที่ดินของรัฐ หรือ ส.ป.ก. ที่มีไว้เพื่อทำการเกษตรถูกเปลี่ยนไปเป็นของนายทุนว่า ต้องขอขอบคุณนายกฯ ที่แสดงความเป็นห่วง แนวคิดของพรรค พปชร.เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนายกฯ ในการที่จะต้องรักษาที่ดินของรัฐ โดยเฉพาะ ส.ป.ก.ไว้เพื่อให้เกษตรกรทำอาชีพการเกษตรต่อไป เพียงแต่ พปชร.ต้องการที่จะแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรให้ได้รับสิทธิ์ในที่ดิน ส.ป.ก.ได้ตรงตามความต้องการและตามสถานการณ์ที่แท้จริงในด้านเศรษฐกิจและสภาพพื้นที่ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่กฎหมาย ส.ป.ก. ที่บังคับใช้อยู่ขณะนี้มีมานานกว่า 40 ปีแล้วไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน
          วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กทม. เครือข่ายประชาชนที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) และเครือข่ายผู้อยู่อาศัยในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเสื่อมโทรมกว่า 300 รายจากหลายจังหวัด อาทิ จ.อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร ราชบุรี และฉะเชิงเทรา นำโดยนายสาธุ อนุโมทามิ เลขาธิการเครือข่ายพสกนิกรไทยรวมใจสามัคคี (คพ.รส.) ในฐานะผู้ประสานงาน ได้ยื่นข้อร้องเรียนพร้อมนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาและพัฒนาการปฏิรูปที่ดิน สปก.4-01 และที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเสื่อมโทรม ถึงนายกรัฐมนตรี โดยมี พ.อ.คฑาวุธ ขจรกิตติยุทธ หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนนายกฯ เป็นผู้รับเรื่องแทน พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สำนักงานส.ป.ก. และผู้แทนกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมรับเรื่องและชี้แจงแนวทางการดำเนินการเบื้องต้นของภาครัฐ
     นายสาธุกล่าวว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทำเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่ยากจนจัดสรรให้กับประชาชนที่ต้องการทำอาชีพเกษตรกรรมไม่สามารถนำที่ดินไปทำวัตถุประสงค์อื่นได้ แต่สภาพที่ดินหลายแห่งก็ไม่ได้เอื้อต่อการทำการเกษตร โดยเฉพาะการที่ที่ดิน ส.ป.ก.กว่า 40 ล้านไร่ สามารถทำระบบชลประทานได้ราว 3 ล้านไร่เท่านั้น จึงขอเสนอให้แต่งตั้งคณะทำงานชุดพิเศษเพื่อนำร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ... ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นมาพิจารณาเพื่อเพิ่มเติมวัตถุประสงค์การให้ใช้ที่ดิน สปก.4-01 และการเพิ่มอำนาจการบริหารจัดการให้กับสำนักงาน ส.ป.ก. ในการจำแนกที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร เอกสารสิทธิที่จะให้แก่เกษตรกร หรือผู้ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินอื่นสามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยใช้ใบสลักสิทธิ์ เปลี่ยน สปก.4.01 ให้เป็น ส.ป.ก. 4.0 ถือว่าที่ดินยังเป็นของแผ่นดินไม่ตกไปถึงนายทุนอย่างที่กังวล และให้เร่งรัดแก้ไขปัญหาโดยยกเป็นวาระแห่งชาติ เพราะรัฐบาลนี้มีอำนาจและนโยบายพิเศษที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าปล่อยให้ปัญหานี้เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลต่อไปแก้ไขได้ และเป็นการปล่อยให้ประเทศชาติเสียโอกาส
     พ.อ.คฑาวุธกล่าวว่า รัฐบาลรับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนดี โดยพยายามแก้ไขมาตลอด จะนำข้อสรุปพร้อมเอกสารแนวทางต่างๆ นำไปศึกษาในรายละเอียด และนำเสนอต่อนายกฯ ต่อไป
พท.จ่อฟ้อง อบจ.พะเยา
    ส่วนกรณี อบจ.พะเยาออกหนังสือยกเลิกการอนุญาตให้พรรคเพื่อไทยใช้พื้นที่สนามกีฬา อบจ.พะเยา เพื่อปราศรัยกับประชาชน นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า หากเป็นพื้นที่ส่วนราชการต่างๆ จะต้องมีการขออนุญาตก่อน ส่วนการจะอนุญาตหรือไม่ แล้วแต่พื้นที่นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นของหน่วยงานท้องถิ่นหรือราชการเชื่อว่าในอนาคตเรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพราะเมื่อมี พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง กกต.จะกำหนดว่าสถานที่ใดสามารถปราศรัยได้หรือไม่ได้ วันนี้ยังไม่ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง ถือเป็นสิทธิ์ของหน่วยงานในพื้นที่ ไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาล ดังนั้น เป็นเรื่องปกติในการจะขอใช้พื้นที่ไหน ก็ต้องขออนุญาตหน่วยงานนั้นๆ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานว่าจะให้หรือไม่ให้
    ส่วนมีการพูดกันว่ามีการสั่งการมาจาก กทม. นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของ กกต. และยืนยันว่าการจะอนุญาตของใช้พื้นที่เป็นส่วนรับผิดชอบของแต่ละพื้นที่ เพราะมีผู้รับผิดชอบและมีอำนาจในการอนุมัติอยู่แล้ว รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่มีอำนาจไปจำกัดสิทธิใคร
          นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษก พปชร. กล่าวว่า กรณีที่ อบจ.พะเยาไม่อนุญาตให้พรรคเพื่อไทยใช้สนามกีฬา อบจ.ปราศรัยนั้น อย่าพยายามโยงกับพรรค พปชร. เพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และที่มีการปราศรัยของพรรคที่ จ.พะเยา ในวันเดียวกัน แต่มีคนเข้าร่วมมากกว่า 5,000 คน ก็เพราะพี่น้องประชาชนเขาชอบว่าที่ผู้สมัครและนโยบายพรรคพปชร. ทั้งนี้ เท่าที่ทราบผู้บริหาร อบจ.พะเยา ก็อยู่เพื่อไทย
     คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการดำเนินการของพรรคหลังจากเกิดเหตุการณ์ห้ามให้พื้นที่ปราศรัยที่ จ.พะเยา ว่า  อยากเรียกร้องความชัดเจนจากผู้มีอำนาจ ตกลงการที่ไม่ให้ใช้สถานที่ราชการนั้น เป็นการไม่ให้ใช้บางพรรคหรือไม่ให้ใช้ทุกพรรค เหตุใดจึงมีบางพรรคใช้ได้แต่บางพรรคใช้ไม่ได้ เรื่องแบบนี้จะจัดการอย่างไรมีมาตรฐานอย่างไร ขอให้มีความชัดเจนว่าเราจะต้องทำอย่างไร เราไม่อยากให้ข้าราชการเดือดร้อน รู้ว่าเขาถูกบังคับมาจากข้าราชการผู้ใหญ่ ซึ่งโทร.มาคุยกับตนว่าได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ใน กทม.ว่าอย่าให้มีการปราศรัยเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เราจึงไม่เข้าไปในสถานที่ที่เขาห้ามเลย ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นตัวผู้สมัครอาจจะดำเนินการฟ้องร้อง เพราะเขาได้รับหนังสืออนุญาตอย่างเป็นทางการ เขาก็ไปลงทุน ลงแรง สร้างเวทีและกางเต็นท์เรียบร้อยแล้ว 
    เมื่อถามว่า จะบอกเจ้าหน้าที่อย่างไรว่าเราไม่ต้องการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในลักษณะที่มาแอบติดตาม คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า หากเป็นอาสาสมัคร หรือเจ้าหน้าที่ที่ใส่เครื่องแบบแล้วเขามาช่วยดูแลเรา ตนจะเดินไปขอบคุณเขาทุกครั้ง แต่กรณีที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว ก่อนจะมาเกิดขึ้นอีกที่ จ.เชียงราย ซึ่งมีชายฉกรรจ์ซึ่งไม่ปรากฏสังกัดเดินตามเราจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงคนสองคน ถ้าจะให้ดี ขอให้ใส่เครื่องแบบแสดงตัวให้ชัด ไม่ใช่มาแบบที่เราเป็นโจรเป็นผู้ร้าย หรือมาสะกดรอยตามเรา
มาร์คจี้ กกต.แก้ปัญหา
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีห้ามบางพรรคการเมืองใช้สถานที่ปราศรัยหาเสียงที่ จ.พะเยา ว่า เราต้องการเห็นการเลือกตั้งที่เป็นธรรม และต้องช่วยกันส่งเสริมกระบวนการเลือกตั้งที่สุจริต เสรี ซึ่งถ้าการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ไม่เสรี ในที่สุดจะเป็นปัญหาสำหรับบ้านเมือง จึงอยากบอกไปยังผู้ที่ไม่ยอมรับให้กระบวนการประชาธิปไตยว่า อย่าทำสิ่งเหล่านี้ ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมือง เรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่โดยตรงของ กกต. จะต้องดูแลว่าทุกพรรคจะต้องได้รับความเป็นธรรม อยากให้คนที่มีอำนาจตระหนักถึงเรื่องนี้ ควรที่จะยึดบ้านเมืองก่อน อย่าไปคิดถึงความได้เปรียบเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ 
    นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวถึงกรณีมีเจ้าหน้าที่เข้าไปขอตรวจค้นบ้านว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ว่า กังวลจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว จริงๆ ไม่ใช่กรณีแรก แต่สิ่งที่เกิดกับพรรคของเราตั้งแต่ทีมจังหวัด ผู้สมัคร และแกนนำของพรรค ที่ลงไปในพื้นที่ต่างๆ ก็ถูกคุกคามและติดตามมากมาย เมื่อเรากลับมาก็มีการใช้อำนาจรัฐเข้าไปกดดัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาหลายเดือนจนเราชาชินแล้ว ทางพรรคได้บอกกับผู้สมัครว่า ถ้าถูกคุกคามให้แจ้งกลับมายังส่วนกลาง แล้วเราจะทำให้ดีที่สุดที่จะช่วยผู้สมัครทุกคน 
    ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคต่างๆ ช่วงเช้าที่จังหวัดเพชรบูรณ์ แกนนำของพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) นำโดย น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ร่วมเปิดป้ายสาขาที่ทำการพรรค ชทพ. ลำดับ 2 จ.เพชรบูรณ์ โดยมีบุคคลสำคัญและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเข้าร่วม และได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดใกล้เคียงให้ประชาชนได้รู้จักด้วย โดย จ.เพชรบูรณ์ เขต 1 ส่งนายวิจิตร พรพฤฒิพันธุ์, เขต 2 นายสนม มาระวัง อดีตข้าราชการครู, เขต 3 นายสุระ แสนคำ หรือเขาทราย,  เขต 4 นายพีระชัย แสนคำ หรือเขาค้อ, จังหวัดลำปาง , จังหวัดพิษณุโลกด้วย
    น.ส.กัญจนากล่าวว่า จากการลงพื้นที่ที่ตลาดสดเทศบาล 2 มีชายที่เสนอความเห็นให้พัฒนาพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ให้เหมือนกับ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งตนพร้อมจะทำ 
    ที่วัดท่าซุงทักษิณาราม จ.พระนครศรีอยุธยา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พบประชาชนและนำเสนอนโยบาย โดยมีแกนนำพรรค ภท.และอดีต ส.ส.เข้าร่วม บรรยากาศการปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนร่วมรับฟังกว่า 5,000 คน โดยนายอนุทินกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า  วันนี้พรรค ภท.มีความพร้อมเต็มที่ และจะทำงานหามรุ่งหามค่ำจนพี่น้องเห็นใจ และเรามีจุดยืนชัดเจนคือไม่เล่นการเมือง ไม่ขัดแย้งหรือเป็นศัตรูกับใคร เพราะความขัดแย้งไม่ทำให้คนไทยรวยขึ้น แต่ทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาส
    ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง ปชป. ในฐานะรองโฆษกพรรค แถลงว่า ในวันที่ 13 ม.ค. เวลา 13.30 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค จะเป็นประธานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 30 เขต และปล่อยรถคาราวานประชาธิปไตย 50 คัน จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยภายในขบวนจะมีว่าผู้สมัคร ส.ส.จากภาคต่างๆ มาร่วมด้วย เพื่อเป็นการยืนยันว่าพรรคปชป.พร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้ง และจะเป็นทางเลือกหลักให้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากนั้นยังจะประกาศนโยบาย จุดยืน และสโลแกนของพรรคด้วย  
     ขณะที่นายอภิสิทธิ์ พร้อมด้วยแกนนำพรรค อดีต ส.ส. และผู้สนับสนุน ร่วมพิธีเปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง ที่เขตบางซื่อ และเปิดตัว นพ.คณวัฒน์ จันทร์ลาวัลย์ หรือหมอเอ้ก ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต  7 บางซื่อ ดุสิต (เฉพาะแขวงนครไชยศรี) จากนั้นนายอภิสิทธิ์ พร้อมคณะได้ขึ้นรถแห่หาเสียง เพื่อแนะนำนโยบายและได้ลงพื้นที่พบปะประชาชน ที่ตลาดศรีย่านและกรมชลประทาน โดยมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
    ส่วนพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นำโดย ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค, นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะทำงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พร้อมด้วยแกนนำพรรค เดินทางลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้กำลังใจและมอบสิ่งของอุปโภคบริโภค รวมถึงยารักษาโรคและวัสดุในการซ่อมแซมบ้านเรือนแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุปาบึก ในช่วงเช้ามอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ ต.ท่าไร่ อ.เมืองฯ พร้อมช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับประชาชน สร้างความประทับใจให้กับผู้ประสบภัยเป็นอย่างมาก จากนั้นทางคณะเดินทางไปที่วัดเกาะนาง ใน อ.ปากพนัง เพื่อมอบสิ่งของและช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับชาวบ้านด้วย
พพช.เย้ยซิงเกิลใหม่ลุงตู่
    เช่นเดียวกัน พรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) เดินทางมาที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อพบปะให้กำลังใจผู้ประสบภัยจากพายุปาบึก โดยมีนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค และคณะผู้บริหาร พร้อมด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ กองเชียร์พรรค โดยไปเยี่ยมวัดศรีสมบูรณ์ (วัดหอยราก) อ.ปากพนัง ที่ได้รับความเสียหายจากพายุปาบึก พร้อมถวายเพลพระภิกษุในวัด, เยี่ยมเยียนสมาชิกพรรค ประชาชน นักเรียนที่ร่วมพัฒนาวัด, เยี่ยมเยียนโรงเรียนบ้านศรีสมบูรณ์ และที่วัดหนองหนอน อ.ท่าเรือ และต่อไปยังศูนย์ประสานงานเขตเลือกตั้งที่ 1 อ.เมืองฯ อาจารย์ดวงจันทร์ เพรสคอทท์ และสิ้นสุดด้วย การแวะศูนย์ประสานงานเขตเลือกตั้งที่ 7 อ.ท่าศาลา 
    นายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรค พ.พ.ช. กล่าวถึงเพลง “ในความทรงจำ”  ซึ่งเป็นเพลงที่ 7 ที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งคำร้องว่า ความนิยมในเพลงของ พล.อ.ประยุทธ์ กับความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ต่างกัน เพลงแรกๆ อาจจะติดหูหน่อย คนร้องตามได้มากหน่อย แต่พอเพลงที่สอง สาม สี่ จนมาถึงเพลงที่เจ็ดในตอนนี้ความนิยม ความติดหูของเพลงก็ลดลงเรื่อยๆ กลายเป็นความเบื่อหน่ายของประชาชนแทน จนบัดนี้ เกือบ 5 ปีแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสัญญาไม่เป็นสัญญาที่บอกจะคืนความสุข กลับกลายเป็นการคืนความทุกข์มากกว่า และที่บอกว่าขอเวลาอีกไม่นานจะไปโดยเร็ว แต่กลับไม่ยอมไปเสียที เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ผิดสัญญา ผิดคำพูด ครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่มีใครเชื่อคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์อีกแล้ว ท่านควรจะต้องย้ำเตือนตัวเองให้มากตามเนื้อหาของเพลง ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่นำพาความขัดแย้งกลับมาสู่ประเทศไทยอีก 
     ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ในงานรำลึก 11 ปี นพ.สงวน นิตยารัมพงศ์ มีการเปิดเวทีเสวนามองไปข้างหน้า “พรรคการเมืองกับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน” โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยืนยันว่าบัตรทองเป็นระบบรัฐสวัสดิการ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนที่ควรได้รับ ยืนยันไม่เห็นด้วยกับการรวมกองทุน 
    คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า การทำ 30 บาทรักษาทุกโรคยุคใหม่ ต้องปรับเปลี่ยนระบบสุขภาพเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพ โดยให้คนเป็นศูนย์กลาง ต้องปรับปรุงการบริหารจัดการเรื่องของการกระจายอำนาจระดับเขต ระดับโรงพยาบาล เพื่อให้การบริหารจัดการบูรณาการทำงานร่วมกัน 
    นายจาตุรนต์กล่าวว่า สำหรับความเท่าเทียมทั้ง 3 กองทุน ควรทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น แต่ถ้าจะนำมารวมกันให้เหมือนกันทั้งหมดนั้น ต้องคำนึงผู้ที่ทำประกันสังคม ซึ่งกว่าจะเกิดขึ้นต้องใช้เวลายาวนาน 
    นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค พปชร.กล่าวว่า บัตรทองต้องไม่มองเรื่องของการเมือง จำเป็นต้องทำต่อให้ดีขึ้นต่อเนื่อง จะทำอย่างไรให้ทั้ง 3 กองทุนมีสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกันและสิทธิประโยชน์อย่างครอบคลุม 
    นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค.กล่าวว่า ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีความสำคัญการพัฒนายังคงต้องดำเนินไปข้างหน้าใหม่ อยากเห็นระบบประกันที่ถ้วนหน้า และทุกคนได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมอย่างแท้จริง.
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"