“ป้อม” ปัดตอบ “ปู” ถือพาสปอร์ตกัมพูชา โบ้ยให้ไปถามกัมพูชาเอง ขณะที่รัฐบาลกัมพูชายืนกรานปฏิเสธไม่ได้ออกพาสปอร์ตให้ "ยิ่งลักษณ์" อ้างไม่รู้เอกสารจริงหรือปลอม ชี้กฎหมายกัมพูชาไม่อนุญาตให้ออกหนังสือเดินทางแก่คนต่างชาติ เว้นแต่จะมีพระราชกฤษฎีกาที่กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ทรงลงพระปรมาภิไธยเอง อัยการแจ้ง อคส.-อ.ต.ก.ส่งเอกสารฟ้องเอกชนชดใช้โครงการจำนำข้าวเพิ่ม 16 ม.ค.นี้ นัดฟ้อง "มานพ ทิวารี" พ่อ "ศิธา" คดีฟอกเงิน ธ.กรุงไทย 30 ม.ค. ส่วน "โอ๊ค" ต้องมารายงานตัวต่อศาลภายใน 26 มี.ค.
เมื่อวันพฤหัสบดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชา จดทะเบียนตั้งบริษัทในฮ่องกง โดยตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ให้ไปถามกัมพูชาเอง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศหรือไม่ พล.อ.ประวิตรไม่ตอบคำถามดังกล่าว พร้อมเดินขึ้นรถออกไปทันที
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกง รายงานว่า เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเธอยื่นขอเป็นผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน ที่เปิดดำเนินกิจการในฮ่องกงเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2561 น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุในช่องหนังสือเดินทางว่า "ราชอาณาจักรกัมพูชา"
ขณะที่เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ของกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2562 รายงานข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธว่ากัมพูชาไม่ได้ออกหนังสือเดินทางกัมพูชาให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามที่มีรายงานในหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกง ที่อ้างอิงเอกสารการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน จำกัด ในฮ่องกง ลงวันที่ 24 ส.ค.2561
ในเอกสารซึ่งยื่นขอในเวลาเกือบ 1 ปี หลังจากการหลบหนีคำพิพากษาจำคุกคดีรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์กรอกข้อมูลว่าถือหนังสือเดินทางของราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อใช้ยื่นขอเป็นผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียวของบริษัทนี้ และหลังจากจัดตั้งบริษัทนี้ได้ 4 เดือน ก็มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นประธานของบริษัท ซัวเถาอินเตอร์เนชันแนลคอนเทนเนอร์เทอร์มินัล (เอสไอซีที) ผู้ดำเนินกิจการท่าเรือในมณฑลกวางตุ้ง รายงานของพนมเปญโพสต์กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปที่เอสไอซีที แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
อย่างไรก็ดี พนมเปญโพสต์ได้สอบถามพลเอกเหมา จันดารา อธิบดีกรมทะเบียนราษฎร สังกัดกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ในขณะนั้น ได้รับคำตอบว่า กัมพูชาไม่เคยออกหนังสือเดินทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์
"เราไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอมหรือไม่ แต่เราไม่เคยออกหนังสือเดินทางให้แก่คนต่างชาติ" เขากล่าวกับพนมเปญโพสต์เมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมกับชี้แจงด้วยว่า การออกพาสปอร์ตกัมพูชาให้คนต่างชาตินั้นขัดต่อกฎหมายของกัมพูชา แต่การจะออกพาสปอร์ตให้คนต่างชาตินั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นได้รับสัญชาติกัมพูชาแล้ว ผ่านการตราพระราชกฤษฎีกาที่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ทรงลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น
"มีใครในโลกนี้ไม่รู้บ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนไทย และเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เธอจะใช้หนังสือเดินทางของกัมพูชาไปจดทะเบียนบริษัทในฐานะพลเมืองกัมพูชาได้อย่างไร เราไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับรายงานข่าวเรื่องนี้"
ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้โพสต์อินสตาแกรมภาพนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ที่กำลังรับประทานขนมจีนน้ำยาปูและแกงเขียวหวาน พร้อมข้อความว่า “ชื่อทักษิณก็ต้องกินอาหารใต้ วันนี้เลยได้ชิมขนมจีนน้ำยาปูและแกงเขียวหวานปักษ์ใต้กันค่ะ”
อสส.ขอข้อมูลจำนำข้าวเพิ่ม
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษก อสส. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ทั้งนักการเมือง, เจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชน ภายหลังที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาตัดสินจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ รวมทั้งนักการเมืองในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐสังกัดกรมการค้าต่างประเทศ และกลุ่มเอกชนไปเมื่อปี 2560 ว่า เมื่อมีการดำเนินคดีอาญาโดยฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการจำนำข้าวและระบายข้าวจนศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาแล้ว ภายหลังก็ได้มีการดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกคือที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งทางปกครองบังคับคดีให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายบุญทรง, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์, นายมนัส สร้อย พลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็น ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ, นายอัครพงศ์ (หรืออัฐฐิติพงศ์) ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ มูลค่านับแสนล้านบาท ต่อมาผู้ได้รับคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดทั้ง 6 รายดังกล่าวก็ได้ยื่นฟ้อง รมว.คลัง และกระทรวงการคลัง เป็นคดีปกครองต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี
"ซึ่งส่วนนี้พนักงานอัยการสำนักงานคดีปกครองได้ดำเนินการแก้ต่างให้ รมว.คลังและหน่วยงานรัฐคือกระทรวงการคลังแล้ว สำหรับคำขอทุเลาการบังคับคดี ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องทั้งหมด แต่บางรายขอยื่นทุเลาการบังคับคดีเข้ามาอีก ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล ส่วนคำฟ้องที่ฟ้องขอให้เพิก ถอนคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าสินไหนทดแทนนั้น ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลปกครองกลาง"
ส่วนกรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ส่งคดีให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปกครอง เพื่อให้ดำเนินการพิจารณาฟ้องเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับ อคส. และ อ.ต.ก. ที่ผิดสัญญาฝากเก็บรักษาข้าวสารและสัญญาตรวจสอบคุณภาพข้าวสาร รวมมูลค่าหลายแสนล้านบาทนั้น โดยคดีในส่วนนี้ทางสำนักงานอัยการคดีปกครองได้รับสำนวนคดีจาก อคส. จำนวน 246 คดี และจาก อ.ต.ก. จำนวน 89 คดี ทั้งหมดเป็นเรื่องต่อเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว ซึ่งนายเทพสิทธิ์ รักไตรรงค์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปกครอง ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา ซึ่งได้พิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่าทางคดียังขาดเอกสารและพยานหลักฐาน โดยคดีมีเอกสารและพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ คณะทำงานจึงมีมติให้ อคส.และ อ.ต.ก.รวบรวมเอกสารและพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้พนักงานอัยการ โดยนายเทพสิทธิ์ได้มีคำสั่งแจ้งทั้ง 2 หน่วยงานไปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2561 ว่าให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมมาภายใน 16 ม.ค.นี้ ทั้งนี้ หากเอกสารครบถ้วนแล้ว คณะทำงานอัยการคดีปกครองจะพิจารณามีความเห็นและคำสั่งต่อไป
เมื่อถามว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายให้กับ อคส. และ อ.ต.ก.นี้ จะไม่มีปัญหาเรื่องอายุความดำเนินคดีใช่หรือไม่ อย่างไร นายประยุทธกล่าวว่า ประเด็นข้อนี้ทางคณะทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญ และได้ตระหนักอยู่แล้ว ขอให้สบายใจได้ว่าไม่เกิดความเสียหายเพราะเรื่องนี้ในชั้นพนักงานอัยการแน่นอน
นัดฟ้อง'พ่อศิธา'ฟอกเงิน
นอกจากนี้ นายประยุทธ เพชรคุณ เปิดเผยถึงการรอส่งตัวฟ้องนายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน รับโอนเงินที่ได้จากการอนุมัติสินเชื่อระหว่าง ธ.กรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบว่า หลังจากที่คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษมีความเห็นสั่งฟ้องนายมานพ พร้อมกับนางกาญจนาภา หงษ์เหิน (เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร ) และนายวันชัย หงษ์เหิน (สามีของนางกาญจนาภา)
ในส่วนของนายมานพนั้น ให้มาพบกับอัยการในวันที่ 29 พ.ย.2561 เพื่อจะยื่นฟ้อง แต่ขณะเดียวกันนั้น นายมานพก็ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุด แต่คณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วก็มีความเห็นยืนยันสั่งฟ้อง โดยอัยการกำหนดนัดให้นายมานพมาพบในวันที่ 30 ม.ค.2562 เวลา 10.00 น. เพื่อจะนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งอัยการได้แจ้งด้วยว่าหากไม่มาพบตามเวลาที่นัดหมายก็จะพิจารณาให้พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตามขั้นตอนขอออกหมายจับที่จะติดตามตัวมาฟ้อง
สำหรับนางกาญจนาภาและนายวันชัย (อัยการมีคำสั่งให้ฟ้องข้อหาร่วมฟอกเงินและสมคบฟอกเงินในการรับโอนเช็คจำนวน 26 ล้านบาท) ก่อนหน้านี้ คณะทำงานอัยการฯ แจ้งให้ดีเอสไอติดตามตัวทั้งสองมาฟ้องแล้ว ซึ่งมีการให้ออกหมายจับทั้งสองแล้วต้องรอการติดตามหาตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาส่งฟ้องศาลภายในอายุความต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีสมคบฟอกเงินที่เกี่ยวกับการโอนและรับโอนเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องการทุจริตปล่อยกู้ของ ธ.กรุงไทยกับเครือข่ายธุรกิจกฤษดามหานครนั้น ก่อนหน้านี้อัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว 2 สำนวน สำนวนแรกส่วนของผู้โอนคือกลุ่มธุรกิจกฤษดามหานคร ซึ่งได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 79 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับพวกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2561
สำนวนที่ 2 กลุ่มรับโอนเงิน ที่ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ชินวัตร (บุตรชายนายทักษิณ) ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 60 ฐานสมคบฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2561 ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.245/2561 และได้นัดตรวจเอกสารหลักฐานต่อเนื่องในเดือน ม.ค.2562-เม.ย.2562 โดยจะนัดตรวจหลักฐานทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ขณะที่นายพานทองแท้ได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ส่วนที่มีข่าวว่านายพานทองแท้เตรียมจะเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของน้องสาวคนเล็ก น.ส.แพทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ที่ต่างประเทศในเดือน มี.ค.2562 นี้ ทีมทนายความก็ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลางแล้วเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นายพานทองแท้ จำเลย เดินทางออกนอกประเทศ โดยนายพานทองแท้มีกำหนดที่จะต้องเดินทางกลับมารายงานตัวต่อศาลภายในวันที่ 26 มี.ค.นี้ หลังจากเดินทางไปร่วมงานแต่งงานดังกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |