ผมหยิบหนังสือเล่มนี้จากร้าน Kino ที่เมืองซัปโปโรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมคิดในใจว่าแค่ปี 2019 ที่กำลังจะมายังไม่รู้ว่าโลกจะป่วนแค่ไหน ดังนั้นเรื่องของปี 2020 ต้องเก็บไว้วิเคราะห์พร้อมกับสถานการณ์ปีใหม่นี้ก่อน
เอาเข้าจริงๆ สองปีข้างหน้านี้จะยุ่งเหยิงในระดับสากลพอสมควรเพราะ "ระเบียบโลก" กำลังเข้าโหมดแห่งความปั่นป่วน
สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการบรรจบมาพบกันของโดนัลด์ ทรัมป์ กับสีจิ้นผิง และการขยับบทบาทของวลาดิเมียร์ ปูตินอย่างคึกคัก ประกอบกับการเปลี่ยนคีย์เล่นเกมการเมืองระหว่างประเทศของคิม จองอึน และการประกาศเกษียณจากการเมืองของอังเกลา แมร์เคิล โดยที่เอมมานูเอล มาครงยังไม่ได้สร้างสมบารมีเพียงพอที่จะมาทดแทนได้
ปี 2019 จึงเป็นปีที่ร้อนแรงไม่น้อยสำหรับการติดตามข่าวคราวระหว่างประเทศ ประกอบกับการที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนด้วย จึงทำให้คนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองต้องใส่ใจกับปัจจัยของ "ความป่วน" หรือ disruption อย่างรอบด้านถ้วนถี่และต่อเนื่อง
แน่นอนว่าปีใหม่นี้หัวข้อหลักแห่งการเกาะติดสถานการณ์โลกอยู่ที่หลายประเด็นหลักๆ อาทิ
วิกฤติการเมืองส่วนตัวของทรัมป์ว่าจะโดนกระหน่ำด้วยภัยแห่ง impeachment หรือไม่
อังกฤษจะฟันฝ่าวิกฤติ Brexit ให้มีบาดแผลน้อยที่สุดอย่างไร
วิกฤติศรัทธาของชนชั้นคนทำงานของฝรั่งเศสที่ลามไปอีกหลายประเทศในยุโรป จะนำไปสู่ความวุ่นวายกลางถนนและการปฏิวัติกติกาการเมืองของยุโรปอย่างไร
ทรัมป์กับคิม จองอึนจะเกทับบลัฟแหลกเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองอย่าง...และภัยนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีจะผ่อนเบาหรือหนักหน่วงขึ้น
สีจิ้นผิงกับทรัมป์จะหาทางลงจากสงครามการค้าท่ามกลางความตึงเครียดกรณีหวาเว่ยอย่างไร ตะวันออกกลางจะร้อนขึ้นเพราะการเผชิญหน้าระหว่างซาอุฯ กับอิหร่าน ที่ทำท่าจะหนักหน่วงขึ้นเมื่อทรัมป์สั่งถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียและอัฟกานิสถาน ทำให้บทบาทของตุรกีมีความคึกคักขึ้นอย่างฉับพลัน
รัสเซียจะกระทำต่อยูเครนอย่างไรในภาวะของการเผชิญหน้าระหว่างสองชาตินี้ ขณะที่พันธมิตรสหรัฐฯ กับยุโรปเริ่มจะอ่อนปวกเปียกลงอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าการสยายปีกของจีนในปีใหม่จะเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งในภาวะที่ทรัมป์เดินหน้านโยบาย America First อย่างเข้มข้นเพื่อปูทางหาเสียงสำหรับสมัยที่สองในทำเนียบขาว ปักกิ่งก็ยิ่งจะถูกส่งให้เล่นบทมหาอำนาจระดับสากลได้มากยิ่งขึ้น
คนไทยที่กำลังยุ่งๆ กับดรามาการเมืองเรื่องหาเสียงเลือกตั้ง ต้องไม่ลืมว่าความหมกมุ่นกับเรื่องภายในไม่กี่ประเด็นที่พุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคลไม่กี่คน จะทำให้ความสามารถในการสร้างความตระหนักและเข้าใจกับสภาวะการเมืองโลกหดหายไปอย่างน่ากลัว
เพราะยิ่งวันเรายิ่งมองเข้ามาที่ตัวเอง ไม่สามารถสร้างศักยภาพระดับสากลได้ เพราะติด "กับดักแห่งความคิดคับแคบ" ที่อันตรายกว่ากับดักใดๆ ที่เราเคยวิพากษ์กันมาตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา
ทราบแล้วเปลี่ยน มิฉะนั้นจะเข้าสู่โหมด "จบข่าว...หมดประเด็น" สำหรับอนาคตของประเทศชาติอย่างแน่นอน
ข้อสรุปของหนังสือเล่มนี้ยืนยันว่าไม่มีใครทำนายได้ล่วงหน้าว่าจะเกิด "สงครามโลกครั้งที่สาม" หรือไม่และจะเกิดเมื่อไหร่
แต่ชาวโลกประมาทไม่ได้เป็นอันขาด ยิ่งหากประเทศต่างๆ ไม่มีการเตรียมการเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการป้องกันความขัดแย้ง ด้วยการตระเตรียมทางด้านการทหารและความมั่นคงให้เพียงพอ โอกาสของความพลาดพลั้งเพราะการประเมินผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ย่อมจะนำไปสู่ความหายนะแห่งสงครามรอบใหม่ก็ได้
ไอน์สไตน์เคยพูดทีเล่นทีจริงว่า "ผมไม่รู้ว่ามนุษย์จะใช้อาวุธร้ายแรงอะไรหากเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม แต่ที่แน่ๆ คือหากเกิดสงครามโลกครั้งที่สี่ มนุษย์จะกลับไปใช้หอกแหนแหลนหลาวแน่นอน"
เพราะหากเกิดสงครามอีกครั้ง มนุษย์จะทำลายล้างกันอย่างไม่เหลืออะไรทันสมัยไว้เป็นเครื่องมือได้อีกต่อไป!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |