"ชูชาติ-อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา" ตั้งข้อกังขา ล่าชื่อถอดถอน ป.ป.ช.เสียงข้างมาก อุ้ม "เสี่ยป้อม" อาจสะดุด เพราะกฎหมายไม่เปิดช่อง ทำได้แค่กรณีร่ำรวยผิดปกติ-ทุจริตต่อหน้าที่-ใช้อํานาจขัดต่อกฎหมาย-ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม บอกถ้าข้อกล่าวหาเป็นเท็จอาจถูกดำเนินคดีได้ "ศรีสุวรรณ" สวนแรงทำได้แน่ อัดแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ถึงความเคลื่อนไหวล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสียงข้างมาก กรณีนาฬิกาของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โดยระบุตอนหนึ่งว่า มีข่าวว่านักเคลื่อนไหวที่มีการร้องเรียนกล่าวหาบุคคลอื่นบ่อยๆ จะล่ารายชื่อประชาชนจำนวน 20,000 คนเพื่อถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช. 5 ท่านออกจากตำแหน่ง กรณีที่มีมติว่าพยานหลักฐานจากการไต่สวนยังฟังไม่ได้ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความผิดฐานแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จึงให้ยุติเรื่อง
นายชูชาติย้ำว่า อ่านรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 อย่างละเอียดแล้ว ไม่พบว่ามีบทบัญญัติที่กำหนดให้มีการถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช.ออกจากตำแหน่งได้ การถอดถอนจากตำแหน่งมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ แต่ก็ไม่ได้ให้ใช้บังคับแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงไม่อาจนำมาใช้บังคับได้อีก จึงสงสัยว่าผู้ที่จะล่ารายชื่อประชาชนเพื่อถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช.ออกจากตำแหน่งจะดำเนินการตามกฎหมายฉบับใด หรือเป็นเพียงข้ออ้างให้ประชาชนที่ไม่รู้กฎหมายหลงเชื่อเท่านั้น
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาผู้นี้ชี้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตรา 234 (1) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 45 บัญญัติไว้ทำนองเดียวกันว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อ กล่าวหาว่ากรรมการ ป.ป.ช.ผู้ใดมีพฤติการณ์ ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยยื่นต่อประธานรัฐสภา พร้อมด้วยหลักฐานตามสมควร หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทําตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ ส่วน พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 50 บัญญัติว่า ให้ประธานศาลฎีกาแต่งตั้งคณะไต่สวนอิสระมีจำนวนไม่น้อยกว่า 7 คน เพื่อทำการไต่สวน และมาตรา 56 เมื่อดําเนินการไต่สวนแล้วเสร็จ ให้คณะผู้ไต่สวนอิสระดําเนินการดังต่อไปนี้ (1) ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้สั่งยุติเรื่อง และให้คําสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด (2) ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย (3) ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และมิใช่เป็นกรณีตาม (2) ให้ส่งสํานวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดําเนินการฟ้องคดีต่อศาลศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เตือนผู้ร้องโดนแจ้งความเท็จ
นายชูชาติอธิบายอีกว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวสรุปได้คือ 1.ถ้ากรรมการ ป.ป.ช.ท่านใดมีพฤติการณ์ดังต่อไปนี้ ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนสามารถเข้าชื่อกัน พร้อมหลักฐานที่อ้างว่ากรรมการ ป.ป.ช.ท่านใดมีพฤติการณ์ข้อใดข้อหนึ่งยื่นต่อประธานรัฐสภาได้ ถ้าประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทําตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกา เมื่อประธานศาลฎีกาได้รับเรื่องจากประธานรัฐสภาแล้ว ให้ประธานศาลฎีกาแต่งตั้งคณะไต่สวนอิสระขึ้นมามีจำนวนไม่น้อยกว่า 7 คนเพื่อทำการไต่สวน เมื่อดําเนินการไต่สวนแล้วเสร็จ ให้คณะผู้ไต่สวนอิสระดําเนินการดังต่อไปนี้ ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้สั่งยุติเรื่อง และให้คําสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด แต่ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และมิใช่เป็นกรณีตาม (2) ให้ส่งสํานวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดําเนินการฟ้องคดีต่อศาลศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง
นายชูชาติอธิบายว่า นี่คือกระบวนการที่จะดำเนินการแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่มีพฤติการณ์ตามข้อใดข้อหนึ่งในข้อ 1 เท่านั้น ถ้าไม่มีพฤติการณ์ดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากรรมการ ป.ป.ช. ท่านใดมีคำวินิจฉัยไม่เป็นไปตามที่คนบางกลุ่มคาดหวัง เนื่องจากเชื่อตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวชี้นำตลอดมา ย่อมไม่อาจดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังที่กล่าวมาแล้วได้
"หากมีการล่ารายชื่อประชาชนจริง ขอให้ประชาชนที่จะลงชื่อตรวจดูให้ดีว่า จะดำเนินการเรื่องอะไร ถ้าดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่กล่าวข้างต้น ก็ให้ตรวจดูคำร้องที่กล่าวหากรรมการ ป.ป.ช. ว่าเป็นการกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์อย่างไร และมีพยานหลักฐานตามสมควรที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่า มีการกระทําตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ถ้าไม่มีพยานหลักฐานดังกล่าว ก็คิดไตร่ตรองให้รอบคอบว่าควรจะลงชื่อหรือไม่ เพราะถ้าข้อกล่าวหาตามคำร้องเป็นความเท็จและมีการนำไปยื่นต่อประธานรัฐสภา ผู้ลงชื่อในคำร้องอาจถูกดำเนินคดีในผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานได้" นายชูชาติระบุ
อย่างไรก็ตาม นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แกนนำในการเคลื่อนไหวรวบรวมรายชื่อถอดถอน ป.ป.ช.ให้ความเห็นว่า ตามที่มีอดีตผู้พิพากษาได้ท้วงติงการตั้งโต๊ะให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมาเข้าชื่อ 2 หมื่นรายชื่อเพื่อเอาผิด 5 ป.ป.ช.ว่าอาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จนั้น ไม่แน่ใจว่าท่านผู้นั้นอ่านรัฐธรรมนูญและกฎหมายฉบับใหม่ๆ ครบถ้วนแล้วหรือไม่ หรือเอาแต่เฉพาะที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ แล้วยกมาเฉพาะบางมาตราเพื่อแก้ต่างให้ผู้มีอำนาจอย่างน่าฉงน ไม่สมกับการเป็นอดีตผู้พิพากษาที่สังคมเคารพนับถือ และทั้งๆ ที่เรื่องนี้นักกฎหมาย นักวิชาการ ประชาชนต่างวิพากษ์วิจารณ์และท้วงติงคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.กันทั้งประเทศ ท่านกลับมาขู่ประชาชนว่าอาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 51, 63 และ 78 บัญญัติให้การคุ้มครองประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐ และสามารถฟ้องร้องเอาผิดข้าราชการ นักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐได้อยู่แล้ว โดยไม่มีความผิด
นายศรีสุวรรณย้ำว่า ข้อกล่าวหาของประชาชนที่เข้าชื่อกันก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 ประกอบมาตรา 234 (1) บัญญัติไว้อยู่แล้วทุกประการ และถ้ากรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 5 คนมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาของประชาชนตามมาตรา 237 (3) รัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคสี่ ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่และจะต้องพ้นจากตำแหน่งในที่สุด และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง และอาจเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งไม่เกิน 10 ปีได้ ดังนั้น การที่ประชาชนจำนวนมากมาเข้าชื่อกันก็หวังจะให้ ป.ป.ช.มีบรรทัดฐานในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบตามที่ประชาชนคาดหวัง โดยการทำหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน และเรียกร้องให้ยึดมั่นต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นที่ตั้ง โดยไม่เอนเอียงหรือตกเป็นทาสของผู้ถืออำนาจรัฐหรือมือที่มองไม่เห็น จึงเป็นประเด็นสำคัญมากกว่า ซึ่งท่านอดีตผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของสังคมควรที่จะออกมาเป็นแกนนำในการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย เสียมากกว่าการมาท้วงติงในสิ่งที่เด็กอมมือก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
"ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เองครับว่าแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน นั้นคืออะไร?" นายศรีสุวรรณระบุ
วันเดียวกันนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ขณะนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อยู่ระหว่างการให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยเรื่อง "สังคมไทยไร้คอร์รัปชัน" แก่อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อออกแบบงานวิจัยสำหรับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันบนฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่างๆ สร้างความท้าทายใหม่ในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ พัฒนาระบบและเครื่องมือใหม่ในการป้องกันและลดคอร์รัปชันในระดับพื้นที่ ซึ่งจะเป็นกลไกหนุนเสริมการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันโดยหน่วยงานภาครัฐและองค์กรอิสระ
โดยเบื้องต้นจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเพื่อเป็นตัวแทนของประชากรไทยทั้งประเทศตามหลักการทางสถิติ พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ให้นิยาม "คอร์รัปชัน" หมายถึง "การที่นักการเมืองและข้าราชการยักยอกเงิน" ซึ่งการให้ความหมายในลักษณะนี้เป็นการให้ความหมายที่แคบใน 2 ประการ คือ 1.หมายรวมเฉพาะนักการเมืองและข้าราชการ ซึ่งแท้จริงแล้วบุคคลหรือกลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นๆ ก็มีโอกาสแสดงพฤติกรรมคอร์รัปชันเช่นเดียวกัน ทำให้พฤติกรรมของบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากนักการเมืองและข้าราชการได้หายไปจากบริบทนิยามของการคอร์รัปชันในมุมมองของคนไทย และ 2.เป็นการให้ความสำคัญกับการยักยอกเท่านั้น แม้ว่าอาจจะหมายรวมถึงงบประมาณ แต่ในแง่ของการเอื้อประโยชน์ทางเครือข่าย การใช้ทรัพย์สินสาธารณะในทางที่ผิดไม่ได้ถูกรวมเข้าไปด้วย
นอกจากนี้จากการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจว่า สิ่งใดเป็นหรือไม่เป็นการคอร์รัปชันในเรื่องของการให้สินบนในระดับดีพอสมควร แต่หากเป็นคอร์รัปชันในรูปแบบอื่น เช่น การช่วยเหลือพวกพ้องหรือการช่วยเหลือคนในครอบครัวในทางที่ผิดยังมีความไม่ชัดเจนอยู่มาก โดยเฉพาะเป็นการทับซ้อนกับความหมายของคำว่า "น้ำใจ" และ "บุญคุณ" ซึ่งค่านิยม 2 ประการนี้เป็นค่านิยมหลักที่เสริมให้การคอร์รัปชันที่ซับซ้อนกว่าดำรงอยู่ในประเทศไทย
งานวิจัยชิ้นนี้ยังระบุด้วยว่า จากการวิเคราะห์ความสำคัญของค่านิยมคนไทย พบว่าค่านิยมความกตัญญูหรือการสำนึกในบุญคุณเป็นค่านิยมที่สำคัญที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับค่านิยมด้านความขยันหมั่นเพียร ความประหยัดอดออม และความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งค่านิยมความกตัญญูในการสำนึกบุญคุณ ถือได้ว่าเป็นค่านิยมหนึ่งที่รองรับการคอร์รัปชันในสังคมไทย
อย่างไรก็ดี เมื่อแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามช่วงอายุ พบว่าการให้น้ำหนักกับค่านิยมความกตัญญูและการสำนึกบุญคุณค่อยๆ ลดลงตามอายุ ในขณะที่ค่านิยมของความขยันหมั่นเพียรค่อยๆ สูงขึ้น แต่ค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตเปลี่ยนแปลงน้อยมาก และกลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญในระดับที่ไม่สูงมากนัก.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |