ส่งท้ายปีด้วย 3 ถ้อยแห่งความหมาย


เพิ่มเพื่อน    

                 วันสุดท้ายของปีเก่า เตรียมต้อนรับปีใหม่ ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์โลกและไทยทั้งปี ผมสรุปได้ด้วย  3 คำ

                "ความเหลื่อมล้ำ"

                ตามมาด้วยคำว่า

                "ระเบียบโลกใหม่"

                และ "สงครามการค้า" ก็พ่วงติดมาด้วยอย่างน่าหวั่นเกรง

                และจะเป็นสามคำที่ส่งต่อไปสร้างความปั่นป่วนในวันพรุ่งนี้ที่จะเริ่มปีใหม่

                เดิมทีผมเกือบเชื่อว่าโลกอาจมีสันติภาพแบบคาดไม่ถึงมาก่อนเมื่อตอนโดนัลด์ ทรัมป์ เจอกับคิม จองอึน ที่สิงคโปร์ตอนกลางปี

                แต่แล้วมันก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เพราะการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสองประเทศนี้กลายเป็นปาหี่ที่ไม่มีผลทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

                ตรงกันข้ามพอใกล้ๆ จะสิ้นปีความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือก็ยิ่งเพิ่มระดับขึ้น

                เหตุเพราะทรัมป์สร้างเรื่องกับสีจิ้นผิงของจีน ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับเปียงยางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                ก่อนสิ้นปีจีนกับอเมริกาก็เพิ่มความตึงเครียดระหว่างกันอีก เมื่อสหรัฐฯ ขอให้แคนาดาจับลูกสาวผู้ก่อตั้งหวาเว่ยที่เมืองแวนคูเวอร์ระหว่างที่ "เมิ่งหวั่นโจว" เปลี่ยนเที่ยวบินจากฮ่องกงไปลงเม็กซิโก

                กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดระหว่างสองมหาอำนาจตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นมาปกครองประเทศ

                สงครามการค้าก็ขยายวงกลายเป็นสงครามเย็นรอบใหม่ระหว่างสองค่ายยักษ์ของโลก เพราะเหตุการณ์ล่าสุดมีมิติทั้งการทูต, การเมือง, ความมั่นคงและเศรษฐกิจอย่างปฏิเสธไม่ได้

                ประเทศไทยก็พลอยฟ้าพลอยฝนกับความขัดแย้งระดับโลกไปด้วย

                แรกเริ่มที่เกิดสงครามการค้านั้น ทางการไทยและนักวิชาการบางสำนักเชื่อว่าทั้งอเมริกาและจีนคงไม่กล้าเปิดศึกการค้า เพราะต่างคนต่างก็ตระหนักว่าจะเสียหายทั้งคู่

                แต่ไม่มีใครประเมินได้ถึงความบ้าบิ่นของทรัมป์ ที่ต้องการรักษาฐานเสียงของชนชั้นกลางล่างผิวขาวของตนเอาไว้ ด้วยการแสดงท่าทีเป็นนักเลงโตที่ยึดเอาหลักการ America First เป็นสรณะ

                และไม่มีใครประเมินถูกว่าสีจิ้นผิงก็ไม่อาจยอมให้ทรัมป์ตบหน้าและหยามเกียรติ จนทำให้คนจีนไม่เชื่อในความเป็นผู้นำของจีนที่ได้ชื่อว่าเป็น "เหมายุคใหม่" คนนี้

                ดังนั้นทั้งทรัมป์และสีจิ้นผิงต่างก็ต้องเล่นไพ่ใบ "ชาตินิยม" เพื่อเอาใจฐานมวลชนของตน แม้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างจะต้องเหนื่อยกับการกลับฟื้นสู่ภาวะปกติ

                แต่กรณีการจับ "เมิ่งหวั่นโจว" ทำให้การเผชิญหน้ารุนแรงขึ้น ทำให้ผ่อนเบาสงครามการค้าที่ทรัมป์กับสีจิ้นผิงประกาศ "สงบศึก" ในการเจอกันนอกรอบของการประชุมสุดยอด G20 ที่อาร์เจนตินาในวันเดียวกับเหตุการณ์จับเมิ่งหวั่นโจว (1 ธันวาคม) ไม่ได้

                อีกด้านหนึ่งคือความรุนแรงของการประท้วงที่ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศในยุโรป จากสาเหตุความไม่พอใจของคนทำงานที่มองเห็น "ความเหลื่อมล้ำ" ระหว่างประชาชนชนชั้นล่างกับผู้นำ,  ปัญญาชนและนักธุรกิจผู้ร่ำรวยมากขึ้นทุกวัน

                ความโกรธแค้นจากการที่รัฐบาลฝรั่งเศสขึ้นภาษีน้ำมันเป็นเพียงปลายเหตุของการสั่งสมความคับแค้นของคนทำงานในยุโรปเท่านั้น

                เพราะก่อนหน้านั้นสภาพเศรษฐกิจที่เสื่อมถอย, ความเฉื่อยเฉยของนักการเมืองและชนชั้นนำอื่นๆ  ต่อความทุกข์ยากของประชาชนหาเช้ากินค่ำค่อยๆ เพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นบริหารอเมริกา ด้วยการตอกย้ำความลำบากยากแค้นของชนชั้นกรรมกรและชาวไร่ชาวนา และประกาศยกเลิกแนวทาง "โลกาภิวัตน์" อีกทั้งนำอเมริกาถอยออกจากบทบาทผู้นำโลกด้านการเมืองและศีลธรรม ระเบียบโลกก็เริ่มปรับเปลี่ยน

                จีนผงาดขึ้นมาเป็นแกนหลักของการค้าเสรีและต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ทรัมป์ชูธงการปกป้องผลประโยชน์สหรัฐฯ เป็นหลัก

                นั่นคือจุดผันเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์การเมืองโลก

                และนัยอันสำคัญของ "ความเหลื่อมล้ำ" - "ระเบียบโลกใหม่" - "สงครามการค้า" จะถูกส่งต่อไปสร้างความวุ่นวายสับสนให้กับปี 2562 ที่กำลังรออยู่อย่างกระวนกระวายและร้อนรน!

                โปรดติดตามความเคลื่อนไหวระดับโลกที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยในปีใหม่นี้ด้วยสติและการรู้เท่าทัน!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"