วัน-สองวันที่ผ่านมา...ไม่ว่าใครก็ใคร ต่างต้องเจอกับ ฤดูหนาวอันอบอ้าวและเปียกปอน ไปด้วยกันทั้งสิ้น คือไม่ใช่แค่หนาวแบบวูบๆ วาบๆ แบบหนาวๆ ร้อนๆ แต่จู่ๆ ยังต้องเจอกับสายฝนซัดสาด ไปทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร เล่นเอาเมืองฟ้าอมรบวรรัตนโกสินทร์ มหินทรามหาดิลก พบนพรัตน์ราชธานี ต้องกลายเป็นทะเลชุบศร เจิ่งนองด้วย น้ำรอระบาย แทบทุกซอกทุกมุม...
----------------------------------------------
ความวิปริต ผิดเพี้ยน ของลักษณะอากาศในทำนองนี้...อย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แบบซ้ำๆ ซากๆ มาแล้วหลายครั้ง หลายหน นั่นแหละว่า คงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ ส่งสัญญาณ ที่ชัดซะยิ่งกว่าชัด ว่า...ไม่ว่าโลก หรือบ้านเมืองในอนาคตข้างหน้านั้น เป็นอะไรที่จะอยู่กันแบบเดิมๆ ไปกันแบบเดิมๆ น่าจะยากซ์ซ์ซ์เย็นเต็มที คือมันคงต้องเปลี่ยน ต้องปรับ อะไรต่อมิอะไรกันอีกเยอะ เพื่อให้สอดคล้อง กลมกลืน กับความเป็นไปทางธรรมชาติ หรือความเป็นไปตาม ครรลอง-คลองธรรม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
----------------------------------------------------
หาไม่เช่นนั้น...ก็ด้วยตัวตนของ ธรรมชาติ ท่านเองนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวบังคับ ให้ต้องเปลี่ยน ต้องปรับ แม้ไม่คิดจะเปลี่ยน จะปรับ หรือแม้ต้องการจะฝืน จะดิ้นรนกระวนกระวาย ไปในหนทางเดิมๆ กันแบบไหน อย่างไร ก็แล้วแต่ และด้วยการ บังคับ ที่ว่านี้ อาจไม่ใช่แค่การบังคับในแง่พฤติกรรม การกิน การอยู่ แต่เพียงเท่านั้น แต่อาจไปถึงขั้นการบังคับที่ลึกลงไปถึงทัศนคติ ความคิด จิตใจ เอาเลยก็ไม่แน่!!! แบบที่บรรดานักคิด นักปราชญ์จำนวนไม่น้อย ท่านเรียกว่า การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm shift) อะไรเอาเลยถึงขั้นนั้น คือเปลี่ยนใหม่หมด ในการมองโลก มองการเมือง เศรษฐกิจ หรือวิถีทางสังคมกันในลักษณะใดๆ ก็ตาม...
----------------------------------------------------
เรียกว่า...ใครที่ยังเพ้อๆ อยู่กับแค่เรื่องประชาธิปไตย-เผด็จการ อาจต้องถูกตั้งคำถามว่า จอดเครื่องไทม์แมชชีน เอาไว้ที่หลังเขาลูกไหนกันแน่ เพราะมันจะกลายเป็นอะไรที่เชยซ์ซ์ซ์แล้ว เชยซ์ซ์ซ์เล่า เชยซ์ซ์ซ์ไม่เสร็จอย่างมิอาจปฏิเสธได้ แม้กระทั่งเรื่องแนวคิด ทฤษฎีทางเศรษฐกิจ ขณะที่ สังคมนิยม นั้น คงไม่ต้องเสียเวลาพูดถึงแล้ว เพราะถูก ทุนนิยม โค่นล้ม ชนิดเดี้ยงกันไปเป็นแถบๆ แต่เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้...โดยตัวของ ทุนนิยม เองนั่นแหละ กำลังถูกตั้งคำถามชนิดหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะต้องปรับ ต้องเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ต้องถูกโค่นล้มไปในลักษณะไหนกันดี จะเป็น ทุนนิยมแบบมีจิตวิญญาณ, ทุนนิยมที่มีสิ่งแวดล้อมเป็นแกนกลาง, ทุนนิยมแบบอัตราการเติบโตเท่ากับศูนย์ หรือจะต้องรื้อทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างกันไปหมดทั้งยวง???
---------------------------------------------
อันนี้นี่แหละ...เลยทำให้สิ่งที่เรียกในหลวงล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ท่านทรงเคยชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ตั้งแต่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ คือสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นอะไรที่ออกจะก้าวหน้าและทันสมัยยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าบรรดาพสกนิกรจำนวนไม่น้อยของพระองค์ท่าน ยังคง เชยซ์ซ์ซ์ไม่เสร็จ อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือไม่ว่าพสกนิกรรายหนึ่ง รายใด จะหยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นแค่ ยันต์กันผี เพื่อให้ตัวเองดูดี หรือเพื่อไม่ให้ ผีหลอก ไปวันๆ เท่านั้นเอง...
------------------------------------------------------------
แม้ว่าในช่วงที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่...อัตรา ความเข้มข้น ของสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง นั้น ยังอาจไม่ถึงกับต้องเคร่งเครียด ตึงเครียด มากมายซักเท่าไหร่นัก แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ยังสามารถดำเนินไปตาม ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ โดยไม่จำเป็นต้อง สุดโต่ง สวิงไปทางด้านใด ด้านหนึ่ง จนเกินเหตุ แต่นั่นก็ใช่ว่า...โดยครรลอง ความเป็นไปทางธรรมชาติ จะยอม ยกเว้น ให้กับผู้ที่อาศัยสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเพียงแค่ ยันต์กันผี ต่อไปเรื่อยๆ ก็หาไม่...
-------------------------------------------------
เพราะความหมายของคำว่า ความมีเหตุมีผล ที่ว่า...ล้วนแต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปทาง ธรรมชาติ นั่นแหละ เป็นสำคัญ ไม่ใช่เหตุผลที่มนุษย์คนหนึ่ง คนใด หรือรัฐบาลหนึ่ง รัฐบาลใด จะคิดเอง เออเอง ไปตามนั้น ดังนั้น...เมื่อ ธรรมชาติ ท่านได้ ส่งสัญญาณ ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่าโดยครรลองของท่านนั้นจะเป็นไปในแบบใด รูปใด อะไรที่จะตึงไป-หย่อนไป หรือเป็นไปตาม ความมีเหตุมีผลและพอประมาณ การดำเนินการใดๆ ให้สอดคล้องไปกับความหมายของสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง จึงต้องหันมาหาคำนิยามกันให้ชัดๆ ไม่ใช่แค่เอาแต่ท่อง เอาแต่บ่น กันต่อไปเรื่อยๆ...
----------------------------------------------------------
ว่าไปแล้ว...ไม่เพียงเฉพาะแค่ประเทศไทย สังคมไทยเท่านั้น ที่ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องหันกลับมาสู่โหมดแห่ง ความพอเพียง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ กระทั่งโลกทั้งโลกก็เถอะ...สุดท้ายย่อมต้อง พอเพียง กันไปเป็นรายๆ ไม่เช่นนั้น...ก็คงต้องปวดเศียร เวียนเกล้า อยู่กับ ฤดูหนาวอันแสนจะอบอ้าวและเปียกแฉะ หรือ ฤดูร้อนที่พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา 7 ดวง พร้อมกัน ดังนั้น...การปรับ การเปลี่ยน ไม่ว่าในระดับโลก หรือเฉพาะแค่ สังคมไทย ของหมู่เฮาเท่านั้น ยังไงๆ...มันคงต้องเกิดขึ้นซักวันจนได้ แม้ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่รัฐบาลนี้ รัฐบาลหน้า ไม่ใช่ก๊กใด-ก๊กหนึ่ง ซึ่งกำลังดิ้นรนกระวนกระวายอยู่ในทุกวันนี้...
-------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก พุทธทาสภิกขุ... “การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นสิ่งจำเป็น...ต้องเปลี่ยนอุดมคติของสังคม ให้ลึกลงไปถึงสามัญชน มิฉะนั้น เขาไม่คิดจะทำแม้ในสิ่งที่เขาทำได้ และไม่สนใจที่จะรู้ว่าอะไรควรทำ มีแต่การเป็นทาสอายตนะต่อไปเรื่อยๆ...”
-----------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |