หายไป ๒ วัน!
ไม่ได้เถไถเที่ยวอย่างที่ทำประจำ
หากแต่ต้องไปประจำ "ทุกปี" สุดแต่จะไปตรงไหน ในแต่ละปีเท่านั้น
คือ ๒๘ ธันวาคม เป็นวันปราบดาภิเษก "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
ผมเป็นคนไทย คนไทยต้อง "รู้คุณ-รู้กตเวที" ต่อผู้มีพระคุณ ด้วยสำนึกนั้น......
กับพรรคพวก ๔-๕ คน จึงไปถวายราชสักการะพระบรมรูป "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
ปีนี้ ไปโน่น ที่วัดถ้ำซับมืด แถบเทือกเขาปากช่อง โคราช
เป็นคนไทย อย่าให้เสียชาติเกิด
ต้องเรียน-ต้องรู้ประวัติศาสตร์ อันเป็นรากเหง้าชาติและ บรรพบุรุษของเรา
ย้อนไปเมื่อ ๒๕๑ ปี.......
เมื่อ "พระเจ้าตาก" ทรงทุบหม้อข้าวยึดเมืองจันทบูร รวมถึง ตราด ระยอง ชลบุรี ได้แล้ว
ก็ยกทัพเรือมาตียึดเมืองธนบุรีคืนจากพม่า ไล่เตะก้นพม่าจนหนีเตลิดไปหมดจากแผ่นดินแล้ว
ทรงเห็นว่า กรุงศรีอยุธยายับเยินนัก
จึงใช้กรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่แทน ขนานนามว่า "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร" พร้อมสร้างพระราชวังกรุงธนบุรี
๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๑๐
"พระเจ้าตาก" ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" หรือ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณนั้น......
อดีต ตราบปัจจุบัน ยันอนาคตกาล จึงยังมีแผ่นดินนามไทยให้เป็นที่อยู่อาศัย
หากไม่มี "พระเจ้าตาก" ในวันนั้น
วันนี้ เราทั้งหลาย เรียกว่า "ชนกลุ่มน้อย" ไปแล้ว!
นี่ขนาดผมไปล่วงหน้านะ แต่ที่ไหนได้ ".....
ถนนทุกสาย" ดูเหมือนรถจะมุ่งหน้าไปรวมกันอยู่ในเส้นทางสระบุรีเลี้ยวขวาแทบทั้งนั้น
ขาไป "ค่อนวัน" แต่ขาล่องกลับ แอบหัวร่อ ฮิ...ฮิ..ในใจ
เพราะแหงะหน้าดูทางขาออก อยากจะถามซะจริงๆ "พารถมานอนอาบแดดกันหรือจ๊ะ?"
แหง็กยาวยังกะพญานาคราชพันรอบเขาพระสุเมรุถึง ๑๒ รอบ ก็ยังไม่เห็นขนดหาง
ผมซี ไม่นับทดเวลาแวะห้องน้ำสะอาดปั๊ม ปตท.และซดกาแฟอเมซอน
จากปากช่องถึงคลองเตย เคี้ยวกระยาสารทยังไม่ทันหมดก้อน อ้าว...ถึงคลองเตยซะแล้ว!
จากวันนี้ ถึงวันที่ ๒ มกราปีหน้า
กรุงเทพฯ น่าจะหลวม!
เพราะผู้คนแห่คืนบ้าน-คืนเมือง เนื่องในเทศกาลปีใหม่กัน ชนิดสะบัดก้น ยังกะแต่ละคน "โกรธกรุงเทพฯ"?
แต่ดีนะ ขอให้ทุกคน ไปดี-มาดี
เที่ยวให้สนุก นั่ง-ลุกให้สบาย กินได้-ถ่ายคล่อง นึกเงิน ได้เงิน นึกทอง ได้ทอง ตลอดปี ๒๕๖๒
เที่ยวกันมากๆ เศรษฐทรัพย์จะได้ปริวรรต จากกระเป๋านี้ ไปเข้ากระเป๋าโน้น
หมุนไป-หมุนมา ๖ รอบ ๑๐ รอบ จาก ๑ บาท เศรษฐกิจท้องโต ออกลูก-ออกหลาน เป็น ๑๐๐ เอง
พูดแล้วนึกชอบใจ.....
"ดร.สมศักดิ์ ตันติเศรณี" นายกเทศมนตรีนครสงขลา
"นายชนินทร์ สาครินทร์" ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา
รวมถึงพี่น้องร่วมชาติ "ชาวสงขลา" ทุกคนด้วย!
เมื่อ ๒๖ ธันวา "คุณสัตว์" ไหนมิทราบ เอาระเบิดไปซุกบริเวณรูปปั้น "นางเงือก" ที่หาดสมิหลา
ตูมมมม..."นางเงือก" หางขาด!
มนุษย์ ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ด้านจิตใจมนุษย์ สื่อบางพวก-บางสาขา เอาเลย "ความฉิบหายคืองานของเรา"
ออนไลน์ อันเดอร์ไลน์ "ขายข่าว" ใส่กันไม่คิด......
"คนผวา มันเข้ามาถึงสงขลาแล้ว ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ เหงาแน่"!
คนตื่นตามข่าว ก็...เออ จริง.......
จากขีดวงอยู่ใน ๓ จังหวัดใต้ มันเจาะทะลุถุงเข้ามาวางไข่ถึงสงขลาแล้ว
หาดสมิหลา เทียบให้เห็น ก็เหมือนบางแสน ชะอำ หัวหิน รมณียสถานศูนย์รวมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
เป็นสัญลักษณ์สงขลา ใครมา ก็ต้องมาสมิหลา ไม่งั้น เหมือนมาไม่ถึง
พูดกันตรงๆ อย่าว่าแต่โจรเลย ต่อให้คนบ้า เขาก็ไม่รู้จะทำไปทำไมกับสถานที่เช่นนั้น?
ที่มีคนทำ.....
ไม่น่าใช่เจตนาระเบิดฆ่าคน เพราะระเบิดตอน ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม ช่วงนั้น ไม่มีคน
ยิ่งตรงรูปปั้นนางเงือก ใครจะไปคุยกะเธอ ตอนกลางค่ำ-กลางคืน มืดตึ๊ดตื๋อ?
ถ้าต้องการฆ่าคน หรือบางกลุ่มในขนวนการโจรต้องการส่งสัญญาณช่วงเจรจาสันติภาพไปถึงการเมืองระดับชาติ
ไปตูม...ที่หาดใหญ่ จะไม่ได้ผลทางจิตวิทยามากกว่าหรือ?
ก็นั่นแหละ พูดไปสองไพเบี้ย รอตำรวจลากคอมาสอบก็แล้วกัน
มาพูดด้านที่ว่าจะกระทบการท่องเที่ยวดีกว่า ต้องบอกว่า "ขอบคุณ คุณระเบิด"!
พอตูมมมม........
เมื่อวาน พี่น้องชาวสงขลา กระทั่ง นักท่องเที่ยวมาเลย์-สิงคโปร์ กลับแห่กันมาเที่ยวหาดสมิหลาแทบแตก มาดูว่า อะไรเกิดขึ้นกับนางเงือก?
นายกเทศมนตรีนครสงขลา ถึงกับออกปาก
"เป็นปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง"!?
"เราจะใช้วิกฤติเป็นโอกาส ปลุกกระแสท่องเที่ยวสงขลา เนื่องจากหาดสมิหลาและรูปปั้นนางเงือก เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วประเทศและต่างประเทศ
อยู่คู่กันมากว่า ๕๐ ปี เป็นชายหาดที่มีความสวยงามมานาน ตอนนี้กลายเป็นกระแสดัง จนทุกคนลืมเหตุระเบิดไปเลย" ดร.สมศักดิ์ท่านว่า
"การทำลายสัญลักษณ์คือรูปปั้นนางเงือก กลับทำให้คนสงขลารวมตัวกันเหนียวแน่นมากขึ้น มีคนอาสาจำนวนมากที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ
หลายๆ องค์กร มีการนัดหมายกันว่า จะเดินทางมาถ่ายรูปกับรูปปั้นนางเงือกในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้"
นี่...."คุณชนินทร์" ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสงขลา ก็บอก
ถือเป็นการโต้กลับเหตุการณ์ลบเป็นบวก สมเป็นนักบริหารมืออาชีพ แตกตุ่มคิดใหม่ๆ จากวิกฤตินี้ได้เยอะ
คนสงขลา "เลือดรักถิ่น" เข้มจริงๆ
แทนที่จะเอาตัวรอด กลับผนึกเป็นปราการเหล็ก แห่กันมาเยี่ยมอาการบาดเจ็บ "คุณป้าเงือก"
ร่วมถ่ายรูปกับป้าเงือก ที่หมอต่อหางขาดเข้าที่แล้ว คิวแน่นยิ่งกว่ารอถ่ายกะเฌอมาลย์
ป้าเงือกนี่ ดูๆ ไปก็ วัย ๕๒ ขวบแล้ว แต่ก็ยังสวยไม่สร่าง
แต่ดูเหมือนคุณป้าจะสมบูรณ์ขึ้นนะ
กำยำล่ำบึ้ก บ่งบอกว่าออกกำลังว่ายน้ำสม่ำเสมอ แต่รักสวย-รักงาม ทั้งกลางวัน-กลางคืน หวีผมตลอด
เห็นว่า ทางเทศมนตรีนครฯ จะทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ๑ มกรา
ย้ายจากสถานที่เดิม "หน้าสำนักงานพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสงขลา"
มาทำบุญตักบาตรกันที่หาดสมิหลา เพื่อเสริมบารมีบุญให้คุณป้าเงือกด้วย
เออ...เข้าท่า
เห็นจะต้องครึกครื้นชื่นบุญ สมิหลากลายเป็นงาน "รวมเลือดคนสงขลา" น่าตื่นใจ คนจังหวัดอื่นๆ แห่กันมาร่วมล้นหาดแน่!
ที่คิดกันว่า ชาวสงขลาจะลงขันปั้นรูปนางเงือกใหม่มาแทน แล้วจะนำคุณป้าเงือกปัจจุบันไปไว้ในพิพิธภัณฑ์
ผมว่าเป็นแนวคิดน่าจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพี่น้องสงขลา เพราะต้องไม่ลืม
รูปปั้นนางเงือกหาดสมิหลา เป็นประติมากรรมฝีมือปูชนียบุคคลด้านสถาปัตยกรรมไทย "ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ประกิต (จิตร) บัวบุศย์"
ท่านจากไปด้วยโรคชราในวัย ๙๙ ปี เมื่อ ๒๕๕๓ นี่เอง!
พานรัฐธรรมนูญ ที่ทูนเหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นั่นฝีมือท่าน และอีกหลายแห่ง
"พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล" นราธิวาส ท่านก็ออกแบบและคุมการก่อสร้าง
แต่ที่น้อยคนจะทราบ ก็คือ...
ท่านสร้างและปั้น "หลวงปู่ทวด" โดยไม่เคยเห็นภาพมาก่อนเลย
และรูปลักษณ์นั้น เป็นรูปลักษณ์ "ต้นแบบ" หน้าตาหลวงปู่ทวดมาถึงทุกวันนี้!
พูดถึง "พานรัฐธรรมนูญ".......
ท่านให้สัมภาษณ์นิตยสาร MiX Magazine Thailand ไว้น่าสนใจตอนหนึ่ง ว่า
"อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเริ่มสร้างวันที่ ๒๔ มิ.ย.๘๒ ทำพิธีเปิด ๒๔ มิ.ย.๘๓ สมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ"
ไม่ได้เกิดจากอาถรรพณ์อะไร เวลาประชาชนมาเรียกร้องประชาธิปไตย
"การสร้างพานรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ส่งงานมาให้ ท่านให้เหตุผลว่า ทำให้ไม่ทัน เพราะสมัยนั้น ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ไม่มีแผนกโลหะ
หลวงสั่งว่า ต้องทำให้เสร็จภายใน ๙๐ วัน จะต้องทำให้ได้ ตอนนั้นเข้าหน้าฝน พิมพ์ก็ไม่แห้ง เราก็เอาพิมพ์ออกมาไม่ได้อากาศมันชื้น
ใครก็ไม่กล้ารับงานในสมัยโน้น เพราะแบบที่ทำไว้มันไม่แห้ง จึงเททองลงไปไม่ได้ ทีนี้ผมดันไปรับปากว่าจะทำ มันเหมือนการถูกบังคับ (หัวเราะ) เมื่อไม่มีใครทำแล้ว เขาก็มาจี้ผมให้ทำให้เสร็จเร็วๆ
ที่เพาะช่าง ตอนนั้น ผมยังหนุ่มๆ อยู่ ยังมีไฟ จำได้ว่าสมัยนั้น จอมพล ป.เป็นนายกฯ ท่านให้ค่าจ้างรับงาน งบประมาณไม่ถึง ๓ แสนบาท
ผมทำให้หลวง เสร็จแล้วยังเป็นหนี้เขาอีก (หัวเราะ) เพราะระหว่างที่ทำงาน ก็นำเงินไปใช้จ่าย มากินอยู่ จ้างช่าง ตอนนั้นผมไม่เคยคิดถึงเรื่องเงินเลย อยากให้งานเสร็จ
ต่อมาผมได้ทำการออกแบบก่อสร้างอาคารเพาะช่าง ช่างมาขอเงินซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ผมก็ออกเช็คล่วงหน้า ผมจึงเป็นหนี้โรงเรียนเพาะช่างอยู่หลายแสนบาท
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ผมมีความชื่นใจ เมื่ออาจารย์ศิลป์ไปพูดกับหลวงท่านว่า ‘นายจิตรเขาไม่ได้โกง’ เพราะศิลปินด้วยกันเขาจะรู้ว่าเราทำแต่งานให้แล้วเสร็จเพื่อต้องการชื่อเสียง ไม่ได้ต้องการเงิน
อีกอย่าง ช่วงนั้นมักมีคนทักว่า ชื่อเดิม มันไม่ค่อยดี มีแต่เรื่อง จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ประกิต’
แต่เสียดายชื่อเดิม จึงวงเล็บ ‘จิตร’ ไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"
อยากรู้มากกว่านี้ ไปหาอ่านเอาเอง
ส่วนวันนี้ จบเท่านี้ ไม่รู้มีใครอ่านหรือเปล่า เมาปีใหม่กันหมดแล้วกระมัง?
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |