ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ พร้อมด้วยนางเมลาเนีย ภริยา เดินทางเยือนอิรักโดยไม่ประกาศล่วงหน้าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจแก่ทหารอเมริกัน และได้กล่าวปกป้องการยุติบทบาท "ตำรวจโลก" ของอเมริกาที่เข้าไปยุ่มย่ามในประเทศอื่น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมด้วยเมลาเนีย ภริยา ขณะมาเยี่ยมทหารอเมริกันที่ฐานทัพอากาศอัลอาซัดในอิรักเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 / AFP
เครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันของสหรัฐซึ่งปิดดวงไฟมืดมิดทั้งลำ ลงจอดที่ฐานทัพอากาศอัลอาซัดในภาคตะวันตกของอิรัก เมื่อเวลา 19.16 น. ของวันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561 ตามเวลาท้องถิ่นของอิรัก พร้อมกับนางเมลาเนีย โดยเป็นการเยือนที่ปกติต้องปิดเป็นความลับจนกว่าประธานาธิบดีสหรัฐจะเดินทางมาถึง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งทรัมป์ยอมรับว่าความวิตกกังวลที่สุดคือความปลอดภัยของสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ
การเยี่ยมทหารในอิรักครั้งนี้เป็นครั้งแรกของทรัมป์ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าไม่ยอมไปเยี่ยมให้ขวัญกำลังใจแก่ทหารอเมริกันในสมรภูมิตามธรรมเนียมปฏิบัติ หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม 2560 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ต่างเคยไปเยี่ยมทหารแบบเซอร์ไพรส์มาแล้ว
ทรัมป์ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงในอิรัก จากนั้นยังได้แวะเยี่ยมทหารที่ฐานทัพอากาศแรมสไตน์ในเยอรมนีอีกราว 1 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะกลับกรุงวอชิงตัน
ที่อิรัก ทรัมป์ได้พบกับทหารประมาณ 100 นาย ที่ส่วนใหญ่เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และได้แยกประชุมกับพวกนายทหารอีกต่างหาก เดิมทรัมป์มีกำหนดจะพบกับนายกฯ อาเดล อับเดล มะห์ดี ของอิรักด้วย แต่แผนนี้ถูกยกเลิก โดยทั้งคู่สนทนากันทางโทรศัพท์แทน
สำนักงานของนายกฯ อิรัก กล่าวว่า มีความเห็นไม่ตรงกันระหว่างอิรักกับสหรัฐว่าจะจัดการพบปะอย่างไร ส.ส.อิรักหลายคนกล่าวกันว่า มะห์ดีปฏิเสธคำร้องขอของทรัมป์ที่ให้ไปพบกับเขาที่ฐานทัพ ส่วนซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า การพบปะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยและเวลากระชั้นชิด แต่ผู้นำทั้ง 2 ได้คุยโทรศัพท์กันแล้ว และมะห์ดีตอบรับคำเชิญของทรัมป์เพื่อให้เยือนทำเนียบขาว
ทำเนียบขาวยังได้เผยแพร่วิดีโอที่ทรัมป์ยิ้มแย้มทักทายจับมือกับทหาร เซ็นชื่อและโพสท่าถ่ายรูปกับทหารในเครื่องแบบที่ฐานทัพในอิรักแห่งนี้ด้วย
ข่าวการเยี่ยมให้ขวัญทหารถือเป็นข่าวใหญ่ในเชิงบวกที่ทำเนียบขาวกำลังต้องการเวลานี้ หลังจากความวุ่นวายในกรุงวอชิงตันช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์ประกาศแบบสายฟ้าแลบว่า ต้องการถอนทหารทั้งหมดราว 2,000 นาย ออกจากซีเรีย และยังเตรียมจะถอนทหารอีกครึ่งหนึ่งของจำนวน 14,000 นาย ในอัฟกานิสถานด้วย การตัดสินใจเหล่านี้ถูกคัดค้านทั้งภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เจมส์ แมททิส ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม โดยทรัมป์เร่งให้มีผลเร็วขึ้น 2 เดือน เป็นหลังปีใหม่ เนื่องจากไม่พอใจที่แมททิสวิจารณ์นโยบายของเขาอย่างเปิดเผย
ระหว่างการเยี่ยมทหารที่อิรัก ทรัมป์กล่าวปกป้องนโยบาย "อเมริกามาก่อน" ของเขา ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐ และถอนตัวออกจากกองกำลังผสมนานาชาติในพื้นที่ขัดแย้งที่คนอเมริกันจำนวนมากมองว่าเป็นสงครามที่ไม่รู้จบของตะวันออกกลาง
ทรัมป์กล่าวว่า ไม่ยุติธรรมที่ผลักภาระมาให้สหรัฐ "เราไม่ต้องการถูกประเทศที่ใช้เราและใช้กองทัพที่เหลือเชื่อของเราปกป้องพวกเขา มาเอารัดเอาเปรียบเราอีกแล้ว ประเทศเหล่านี้ไม่ได้จ่ายเงิน และต่อไปพวกเขาจะต้องทำ" ผู้นำสหรัฐกล่าวต่อทหาร "เราแผ่ขยายไปทั่วโลก เราอยู่ในประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อเรามาก่อน ซึ่งบอกตรงๆ มันน่าหัวร่อ".
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |