กกต.ยันสอบโต๊ะจีนประชารัฐแน่ พรรคการเมืองต้องรายงานใน 30 วัน แต่ไม่สามารถนำรายละเอียดในการสืบสวนเปิดเผยได้ ขณะที่หลายพรรคการเมืองรุมกินโต๊ะพลังประชารัฐ "เสรีพิศุทธ์" ถามระดมทุนไปทำไมตั้ง 650 ล้าน ซื้อเสียงหรือเปล่า "สมศักดิ์" ไม่สนตั้งหน้าตั้งตาชู "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ อีกสมัย ขณะที่ "แรมโบ้" ซัดแหลกเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์คือผู้สร้างความขัดแย้ง
เมื่อวันเสาร์ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)? กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐระบุว่าหากผลการตรวจสอบพบการระดมทุนไม่ถูกต้องก็พร้อมจะคืนเงิน แต่จะถือว่าความผิดสำเร็จแล้วหรือไม่ ว่ากรณีดังกล่าวเป็นประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองเขียนไว้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรือระดมทุน พรรคการเมืองต้องมารายงานให้ กกต.ทราบภายใน 30 วัน ที่สำคัญต้องรายงานให้ประชาชนทราบด้วย เพราะกฎหมายต้องการให้พรรคการเมืองสุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ เมื่อครบกำหนดเวลาจึงจะเริ่มต้นการตรวจสอบได้ ในระหว่างนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ทันทีว่าอะไรผิดหรือไม่ผิด
ส่วนที่มีการเสนอข่าวว่าอาจมีหน่วยงานของรัฐเข้าไปซื้อโต๊ะนั้น อยู่ระหว่างการติดตามของ กกต. ซึ่งทั้งหมดจะเริ่มการตรวจสอบได้ต่อเมื่อเห็นรายงานที่เป็นเอกสารจากพรรค และถึงแม้ตรวจสอบพบความผิดเรื่องก็จะเข้าสู่กระบวนการสืบสวนไต่สวนซึ่งหลักสากล ไม่สามารถนำรายละเอียดที่อยู่ในการสืบสวนออกมาเปิดเผยได้ หากท้ายที่สุดรายชื่อที่พรรคผู้บริจาคที่พรรคได้รายงานมาไม่ตรงกับสิ่งที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชนมาก่อนหน้านี้ กกต.ก็จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ประเด็นอยู่ที่ว่าการจัดงานเลี้ยงของพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหน มีการใช้กลไกทรัพยากรของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับการจัดงานระดมทุนหรือไม่ สังคมต้องการคำตอบ ซึ่งผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุดคือ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง รวมถึงหน่วยงานของรัฐที่มีชื่อถูกพาดพิงต้องชี้แจงให้ชัดเจนต่อสังคม
"เชื่อว่าพรรคการเมืองทุกพรรคต้องการทราบแนววินิจฉัยของ กกต. ผมไม่ห่วงเรื่องประสบการณ์ของ กกต.ชุดใหม่ทั้ง 7 คน เพราะมีบทบัญญัติกฎหมายระบุไว้ชัดเจน อะไรทำได้-ไม่ได้ อะไรถูก อะไรผิดกฎหมาย ถ้ากกต.ให้คำวินิจฉัยต่อสาธารณะครั้งนี้ได้อย่างชัดเจนเป็นที่ยอมรับ ก็จะช่วยให้ กกต.ได้รับความเชื่อถือ มั่นใจจากประชาชนมากขึ้น" นายจุรินทร์กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า กกต.ออกระเบียบมาให้ผู้สมัครใช้เงินได้เพียง 2 ล้านบาท ส่วนพรรคการเมืองใช้เงินไม่เกิน 70 ล้านบาท แล้ว พปชร.ไปหาทุนทำไมถึง 600 ล้านบาท แล้วยังมีเศษเหลือ 650 ล้านบาท หากไม่มีอำนาจรัฐคงทำไม่ได้ และอยากถามเอาไปทำไม เอาไปซื้อเสียง เอาไปโกงการเลือกตั้งใช่หรือไม่ เพราะจริงๆแล้วดูรายชื่อสมาชิก พปชร. รวมเงินกันก็ได้แล้ว 70 ล้านบาท ไม่ต้องจัดระดมทุน
ผิดทั้งคุณธรรมจริยธรรม
ดังนั้น จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าหากคนที่ซื้อโต๊ะพปชร. ต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันใช่หรือไม่ บางคน 10-20 โต๊ะก็มี รวมทั้งโต๊ะของกระทรวงการคลัง โต๊ะ ททท. และโต๊ะของ กทม. ถือว่าขัดกฎหมาย เพราะห้ามหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่คนพวกนี้กินข้าวอย่างกับราชามื้อละ 3 แสนบาท และหากเทียบกับตนหรือคนทั่วไป กินราดหน้า ผัดไทยจานละ 60 บาทก็อิ่มแล้ว
“จึงอยากถามว่า หากคนพวกนี้เข้าไปบริหารประเทศจะเอาคืนหรือไม่ การกระทำของ พปชร.ผิดทั้งระเบียบกฎหมาย ผิดทั้งคุณธรรม จริยธรรม ส่วนประชาชนลำบากยากเข็ญ จน แต่ 4 รัฐมนตรีมาปฏิบัติตัวเช่นนี้ มันน่าละอาย ยังมีหน้าระรื่นบ้าอำนาจ สวนทางกับแนวทางกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำขณะนี้อยู่” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยกล่าว
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า น่าแปลกใจที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สารภาพว่าคนจะอดตายอยู่แล้ว แต่พรรคพลังประชารัฐกลับไปจัดงานเลี้ยงระดมทุนโต๊ะจีนโต๊ะละ 3 ล้านบาท ตกกลืนข้าวคำละ 3,000 บาท สะท้อนความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย คนจะอดตายเลยต้องแจก 500 บาท การพบข้อมูลหน่วยงานรัฐซื้อโต๊ะจีนรวม 69 ล้านบาท ถ้าเป็นจริงถือว่าผิดกฎหมาย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส. ที่ผันตัวเองมาเป็นรองหัวหน้าพรรค พปชร. แม้จะบอกว่าถ้าหากคุณสมบัติผู้บริจาคไม่เข้าข่ายตามที่กฎหมายกำหนดจะคืนเงินให้ ฟังไม่ได้ เพราะความผิดสำเร็จแล้ว
เขากล่าวว่า หลักการที่ถูกต้องคือต้องตรวจสอบก่อนรับ ไม่ใช่รับแล้วค่อยไปตรวจสอบ การบอกว่าจะรายงาน กกต.ภายใน 2-3 สัปดาห์ และ กกต.จะตรวจสอบภายใน 30 วันนั้น นานเกินไป ความจริงตรวจสอบ 2-3 ชั่วโมงก็น่าจะรู้แล้ว ตรวจสอบเลขที่เช็คก็สามารถระบุได้ว่าเป็นเช็คของบริษัทหรือองค์กรใดบ้าง เช็คดังกล่าวเซ็นโดยใคร การบอกว่าจะตรวจสอบใน 30 วัน ต้องระวัง การไปตกแต่งข้อมูลเพื่อไม่ให้มีความผิด สังคมกังขาและตั้งข้อสงสัยพรรคพลังประชารัฐเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นมากเกินไปหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นชื่อนโยบายของรัฐบาล แม้แต่ชื่อโรงเรียนก็เหมือนกับชื่อพรรคการเมือง 4 รัฐมนตรีถูกกดดัน ก็ไม่ลาออก แล้วยังมีการจัดระดมทุนที่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมายอีก อย่าย่ามใจว่าทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวประชาชนเขาทนไม่ไหว
ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วิธีการระดมทุนอาจจะมาจากคนน้อยๆ แต่รายเยอะๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าจับตามอง เพราะรายที่ให้เยอะๆ สุดท้ายน่าจะหวังอะไรหรือเปล่า มันเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ การที่จะบริจาคเงินโดยได้สิทธิ์ไปนั่งรับประทานอาหารในราคาสูงๆ ในยามที่เศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ค่อยดีนักนี้ จะทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สมศักดิ์ชู "บิ๊กตู่"
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมยุทธศาสตร์รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายอนุชา นาคาศัย กรรมการบริหารพรรค และนายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่เปิดศูนย์ประสานงานของพรรคพลังประชารัฐที่จังหวัดนครปฐม โดยมีประชาชนให้การต้อนรับกว่า 1,500 คน
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์กล่าวเปิดตัวบุคคลที่เสนอตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครปฐม 5 เขต คือ เขต 1 นายธนกร เชาวนเมธา, เขต 2 พ.ต.อ.วีระยศ ชื่นกลิ่นธูปศิริ, เขต 3 นายพรศักดิ์ เปี่ยมคล้า อดีต ส.ส., เขต 4 นายปฐมพงษ์ สูญจันทร์ อดีตนายก อบจ.นครปฐม และเขต 5 ดร.ระวัง เนตรโพธิ์แก้ว อดีต ส.ส.
โดยนายสมศักดิ์ระบุว่า วันนี้ประเทศต้องก้าวข้ามความขัดแย้งไปให้ได้ ขณะเดียวกันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถทำบ้านเมืองสงบ และเวลานี้กำลังเร่งแก้ไขในเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชน ด้วยการเร่งผลักดันให้ชาวบ้านนั้นมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงเกษตรกรที่รัฐบาลก็พยายามเข้ามาช่วยในเรื่องของราคาข้าว เป็นต้น
เขายังกล่าวว่า การเลือกพลังประชารัฐก็คือการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีก 1 สมัย แม้วันนี้พรรคพลังประชารัฐยังมีคนรักไม่มาก อย่างพรรคการเมืองเก่า แต่เราขอเป็นทางเลือกที่สำคัญในการยกระดับความมั่นคง การกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน เรายินดีที่จะทำงานหนักให้สำเร็จ เพราะพรรคพลังประชารัฐมีบุคลากรที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม เกษตรกรรม พร้อมทำงานช่วยเหลือประชาชนให้ผ่านวิกฤติความลำบาก
“ผมมั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสที่จะได้ ส.ส.นครปฐม แม้จะมีตระกูลใหญ่ที่ผูกขาด เพราะเวลานี้การจะเลือก ส.ส.สักคน เขาต้องมองที่นโยบายพรรคเป็นหลัก ว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไร มิได้มองตัวบุคคลมากแบบในสมัยก่อน ผมไม่ได้โอ้อวดเกินจริง เพราะบรรดาผู้สมัครก็ขยันลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชน ผมจึงมองว่าเรามีโอกาสได้ ส.ส.”
นายสมศักดิ์ยังระบุถึงการถูกโจมตีจากพรรคต่างๆ ว่า เวลานี้คงเป็นเรื่องโต๊ะจีน ที่ทางพรรคพลังประชารัฐก็ได้แสดงสปิริตในการให้ตรวจสอบ ซึ่งเชื่อว่าทางพรรคจะชี้แจงได้ ส่วนการโจมตีในประเด็นอื่นๆ นั้น ก็ว่ากันไป พรรคพลังประชารัฐคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นทุกวัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมาดิสเครดิตกัน เราก็พยายามชี้แจงในความจริงมาตลอด
"เข้าใจว่าการเมืองคือการแข่งขันให้ร้ายป้ายสีกันได้ แต่ก็ทำแค่พองาม อย่าให้เลยเถิดจนทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งนั้นเสียไปจนประชาชนกลับมาเบื่อหน่าย เพราะเวลานี้คนทั้งประเทศต้องการความสงบให้กับบ้านเมือง" นายสมศักดิ์กล่าว
"แรมโบ้"ซัดแหลก
ที่บริเวณสนามกีฬาจังหวัด (หมอนไม้) ต.ป่าเซ่า อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปัจจุบันผู้แทนพรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ต้องบอกกันตรงๆ ว่าเกิดจากพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ วันนี้ถ้าสองพรรคการเมืองนี้หยุดเล่นนอกกติกา หยุดเล่นการเมืองกันเสียที ถ้าสองพรรคการเมืองเล่นตามกติกาของบ้านเมือง เล่นการตามระบอบประชาธิปไตย ตนและสมาชิกพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนรวมถึงอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยภาคอีสานก็คงไม่ย้ายพรรค เพราะคนเหล่านี้ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองบ้านเมืองขัดแย้งเพราะสองพรรคการเมืองนี้อีกต่อไป
“พี่น้องบางคนอาจจะไม่ชอบทหาร แต่ผมอยากถามว่า ถ้าวันนั้นเสื้อแดงชุมนุมอยู่ที่ถนนอักษะ เสื้อเหลืองชุมนุมอยู่ที่ถนนราชดำเนิน ถ้าทหารไม่เข้ามาแก้ไข จะมีประชาชนที่ต้องเสียชีวิตอีกกี่ศพ ผมรับไม่ได้ที่จะมีประชาชนที่มีความเห็นต่างเสื้อต่างสีมาทุบตีกันนองเลือดตาย จากประชุมการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะปล่อยให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งอีกไม่ได้โดยเด็ดขาด เราต้องหาพรรคการเมืองที่เป็นกลางๆ พรรคการเมืองที่สร้างความปรองดอง ลดความขัดแย้ง หากทางออกให้บ้านเมือง จึงเป็นที่มาของการย้ายพรรคของผม ซึ่งไม่ใช่ผมคนเดียว แต่มีอีกร่วมเกือบร้อยคน พรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน ทั้งนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์, นายจำลอง ครุฑขุนทด, นายวิรัช รัตนเศรษฐ พรรคพลังประชารัฐคือพรรคเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน ลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดองให้เกิดกับบ้านกับเมือง ซึ่งทุกคนก็อยากเห็นเช่นเดียวกัน ไม่อยากเห็นคนไทยแตกแยกกัน ไม่อยากเห็นคนไทยทะเลาะกัน” นายสุภรณ์กล่าว
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กองเชียร์พรรคเพื่อชาติ กล่าวในการเดินสายพรรคเพื่อชาติสัญจรภาคกลางว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์คิดสั้นไปอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ก็เท่ากับว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. 250 ที่อยู่ในมือ แล้วหา ส.ส.อีก 126 คนก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่วิธีมันพิลึกพิลั่น มาด้วย 2 สภา แต่เวลาอยู่อยู่ด้วยสภาเดียวคือสภาผู้แทนราษฎร นั่นหมายความว่าในสภาผู้แทนราษฎรต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า 250+1 เช่นเดียวกัน และถ้าจะตั้งรัฐบาลต้องมีเสียงในสภาไม่ต่ำกว่า 300 มิฉะนั้นจะเอา ส.ส.มาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ยังไงก็อยู่ไม่ได้ ที่หนักกว่านั้นก็คือว่า พล.อ.ประยุทธ์ 5 ปีมานี้ไม่มีใครเถียงสักคนเดียวใน สนช. แต่ในสภาผู้แทนราษฎรไม่มีมาตรา 44 แล้วเรียกไปปรับทัศนคติไม่ได้แล้ว การอภิปรายในสภา ถ้าโมโหแบบนี้เข้าทาง ส.ส.เลย นี่ขนาดจะไม่มีตนในสภานะ สภาผู้แทนราษฎรเป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคนไม่มีความอดทน ถ้าตนเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่คิดเข้าสภาอย่างเด็ดขาด
เลือก"บิ๊กตู่"จนไปอีก 20 ปี
นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยคนจนเพิ่มขึ้นสูงมาก หากยังมีความคิดเก่าๆ เลือกพวกอำนาจนิยม เผด็จการ เตรียมตัวจนไปอีก 20 ปี ราคาสินค้าเกษตรตอนนี้ก็ตกต่ำมาก เพราะรัฐช่วยแต่คนรวย แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร
ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ หรือ ทษช. โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กขณะแกนนำพรรค ทษช.ลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากประชาชนที่ จ.กระบี่ โดยได้แวะถ่ายภาพกับรูปปั้นปูยักษ์ พร้อมระบุว่า “มากระบี่คราวนี้ ขอแวะถ่ายรูปคู่กับรูปสัญลักษณ์ปูดำเป็นที่ระลึกหน่อย ชาวกระบี่บอกว่าปูดำเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของ จ.กระบี่ และเป็นจุดชมวิวริมแม่น้ำบางนรา ที่เห็นวิวภูเขาสวยงามมาก ทำให้ผมตั้งหน้าตั้งตารอวันที่ 24 ก.พ. ที่เราจะขอโอกาสเข้า มารับใช้พี่น้องชาวใต้บ้าง
ต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจสมาชิก ทษช. ระบุว่า "ชอบรูปปั้นที่ถ่ายจังค่ะ น่ารักดี คิดถึงและเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ"
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคมีนโยบายที่จะปฏิรูประบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพโดยใช้ระบบโทรเวชกรรม Telemedicine หรือ “เทเลเมด” เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบันปัญหาของระบบสาธารณสุขของไทยในปัจจุบัน คือเรามีผู้ป่วยที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปถึงโรงพยาบาลมากถึง 25% ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเรากำลังมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้บุคลากรทางการแพทย์จะต้องรับงานหนักเกินความจำเป็น และใช้งบประมาณมากเกินความจำเป็น รวมไปถึงการเดินทางทำให้ประชาชนเสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
“ดังนั้น หากรัฐสามารถทำให้ อสม.ใช้ระบบเทเลเมดเชื่อมต่อเข้ากับโรงพยาบาลศูนย์เพื่อให้หมอผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาด้วยการเห็นหน้ากันผ่านสมาร์ทโฟน รวมไปถึง อสม.และประชาชนผู้ป่วยทั่วไปยังสามารถใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขในการรักษาเบื้องต้น โดยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจะต้องวางโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลด้วยความง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่า อสม. ประชาชน และแพทย์ ก็สามารถเข้าใช้ด้วยความรวดเร็วและตลอดเวลา” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าว
ชาติไทยพัฒนาเปิดนโยบาย
ด้าน พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การปฏิรูปให้กระทรวงสาธารณสุขมีศูนย์ข้อมูลโดยการใช้เทคโนโลยี AI และ Big data จะต้องใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ นอกงบ ของกระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังมีกองทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมและดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) เพื่อประโยชน์สาธารณะ และกองทุนที่เกี่ยวข้องของกับกระทรวงดีอี จึงควรจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ 4G และ 5G ของ กสทช.ให้ชัดเจน
โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าวต่อว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ของ กสทช. และคณะกรรมการดีอีแห่งชาติ ควรมีการกำหนดไว้ให้ชัดเจนว่าเงินที่ได้มาจะต้องใช้เพื่อการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโทรคมนาคมในระบบสาธารณสุขและระบบการศึกษาเป็นลำดับแรก เพราะจำนวนเงินนับแสนล้านที่ กสทช.ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าว ถือว่าเพียงพอกับการปฏิรูประบบเทคโนโลยีของการสาธารณสุขและการศึกษาของทั้งประเทศได้ ซึ่งถือว่าเป็นความเร่งด่วนลำดับแรกของประเทศไทย เพื่อทำให้ประเทศไทยฝ่าด่านการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงทั้งคุณภาพของชีวิตผู้คนและทักษะในการทำงานรูปแบบใหม่ของผู้คนในอนาคตทั้งสิ้น
นายยุทธพล อังกินันทน์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า วันที่ 24 ธันวาคม น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค และนายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรค พร้อมด้วยแกนนำ จะเปิดตัวนโยบายสำคัญเร่งด่วนของพรรคเพื่อนำเสนอต่อประชาชนและสู้ศึกเลือกตั้งในปี 2562 ใน 6 ด้าน คือ 1.ด้านการเกษตร แก้ปัญหาให้กับเกษตรกร 2.ด้านการศึกษา 3.ด้านสังคม ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น 4.ด้านการบริการสาธารณสุข 5.ด้านกระจายอำนาจ และ 6.ด้านการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายเร่งด่วนดังกล่าวเป็นผลจากการพิจารณาและกลั่นกรองข้อมูล ความต้องการของประชาชนจากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงนำรายละเอียดของยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศศึกษาก่อนการกำหนดนโยบายให้สอดคล้องร่วมกัน
“หลักของกติกาสำคัญคือ การทำนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการ พรรคต้องแจ้งรายละเอียดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณา ซึ่งพรรคสามารถดำเนินการได้ และมั่นใจว่ารายละเอียดของนโยบายเร่งด่วนที่เตรียมประกาศนั้นจะไม่สร้างภาระทางการคลังหรือเพิ่มหนี้สินให้ประเทศอย่างแน่นอน” นายยุทธพลกล่าว
โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนากล่าวด้วยว่า ในวันดังกล่าวจะเปิดแผนกิจกรรมและการหาเสียงของพรรคหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ โดยเบื้องต้นนั้น ในวันที่ 26 ธันวาคม แกนนำพรรคจะลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา เพื่อทำกิจกรรมในพื้นที่ ต่อจากนั้นวันที่ 11 มกราคม 2562 จะเปิดตัวสาขาพรรคที่ จ.เพชรบูรณ์ เป็นต้น.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |