ว่าด้วย...คำชี้แนะของ 'หลวงพ่อชา'


เพิ่มเพื่อน    

 
                                                                            (1)
    ไปอ่านเจอในเว็บไซต์ แนวหน้า เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา...ที่เขาไปคัดเอาเนื้อหา สาระบางส่วน จากหนังสือเรื่อง กุญแจภาวนาและตามดูจิต อันเป็นคำสอน คำเทศนา ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท หรือ พระโพธิญาณเถร มาลงเอาไว้ สลับไป-สลับมา กับบรรดาพระดังๆ หรือพระผู้ใหญ่ทั้งหลาย...
                                                                             (2)
    ซึ่งต้องนับว่าเป็นอะไรที่ เข้าท่า เอามากๆ คืออ่านปั๊บ เห็นปั๊บ ปานประดุจฟ้าฟาดเปรี้ยงตั้งแต่หัวกะโหลกไปยันริดสีดวงทวาร เกิดอาการตื่นตา ตื่นใจ ตระหนัก สำนึกขึ้นมาได้แบบฉับพลัน-ทันที ทั้งๆ ที่ หลวงพ่อ ท่านใช้คำ ใช้ภาษา แบบพื้นๆ ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรวิจิตร พิสดาร เอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นอะไรที่สุดแสนจะลึกซึ้ง กว้างขวาง ใหญ่โตมโหฬาร สำหรับการทำความเข้าใจใน  ธรรมชาติ หรือ กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ อันได้แก่ ธรรมะ ทั้งหลายนั่นแล...
                                                                                (3)
    เพียงแค่การขึ้นต้น ด้วยการชี้แนะบรรดาสัตว์ผู้ยากทั้งหลาย โดยการอุปมา-อุปไมย เทียบเคียงเอาไว้ประมาณว่า...“เมื่อเราทำบุญ แต่ยังไม่ละบาป ก็เหมือนกับเราเอากะละมังไปคว่ำไว้กลางแจ้ง ฝนตกลงมาถูกก้นกะละมังเหมือนกัน แต่มันถูกข้างนอก ไม่ถูกข้างใน น้ำก็ไม่มีโอกาสที่จะเต็มกะละมังได้ อันนี้...ต้องเรียกว่า เล่นเอาบรรดาพวก เศรษฐีใจบุญ ทั้งหลาย อาจถึงขั้นพลิกกะละมังแทบไม่ทัน เพราะมันออกจะเป็น ความจริง อันมิอาจปฏิเสธได้ สำหรับใครก็ตาม ที่ยังคงต้องเวียนว่าย-ตาย-เกิดไปตามวงจรแห่งวัฏสงสาร ไม่ว่าจะยาก-ดี-มี-จน กันในระดับไหนก็ตาม...
                                                                                  (4)
    คือโดยรูปแบบ โดยสไตล์การ เทศน์ ของ หลวงพ่อชา นั้น...ถ้าหากนำมาเทียบกับพระอภิมหานักปราชญ์ อย่าง หลวงพ่อพุทธทาสฯ แล้ว อาจออกไปคนละแบบ คนละสไตล์ อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่โดยเนื้อหา หรือแก่นสาระแล้ว แทบไม่ได้ผิดแผกแตกต่างอะไรไปจากกัน คือต่างดำรงความเป็น สัจธรรม เอาไว้แบบทั้งดุ้น ทั้งด้าม นั่นเอง แต่โดยการอุปมา-อุปไมย หรือการเทียบเคียงเอาไว้ด้วยภาษาง่ายๆ ตัวอย่างง่ายๆ สไตล์การเทศน์ของ หลวงพ่อชา อาจก่อให้เกิดความ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อผู้คนในวงกว้าง หรือปุถุชนคนธรรมดา ได้ออกจะง่ายกว่า...
                                                                                      (5)
    อย่างเช่น ที่ท่านได้เปรียบเทียบเอาไว้แบบชนิดสามารถหลับตานึกภาพ ในทันที-ทันใด ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า...“สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา ไปจับหางมัน ก็ดูเหมือนเป็นสุข แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกันคือ ตัณหาความลุ่มหลงนั่นเอง” อันนี้...ต้องเรียกว่า เปรี้ยงเดียว อาจส่งผลให้ใครต่อใครสามารถ ตาสว่าง ขึ้นมาได้แบบฉับพลัน-ทันที...
                                                                                       (6)
    และที่อาจถือได้ว่าเป็นคำ เทศน์ ที่ออกจะเหมาะสม สอดคล้อง กับบรรยากาศความเป็นไปของเหตุการณ์ บ้านเมือง ในช่วงนี้ ก็น่าจะเป็นคำเทศนาในช่วงท้ายๆ ที่สรุปเอาไว้ว่า...“โลกนี้เป็นของพอดี  แต่เรามีความโลภทะเยอทะยานไปเอง ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักภาษาของโลก ไม่รู้จักความหมายของโลกว่า มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตามธรรมชาติของมันอยู่ทุกวินาที ว่าเมื่อมันเกิดแล้ว มันก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เมื่อเจ็บแล้วมันก็ตาย แต่ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป  สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไปทั้งที่มี...พิษ...อยู่ภายในตัวมันนั่นเอง หรือถ้าเราอยากได้กระโถนใบนี้ เรายกมันขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิด เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยก มันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล ดูเท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ถ้าเราไปยึดอะไร อันนั้นแหละเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา...ปล่อย...มันก็ไม่มีทุกข์”...
                                                                                        (7)
    อันนี้นี่แหละ...ที่ออกจะเหมาะเอามากๆ สำหรับใครก็ตามที่กำลังดิ้นรน กระวนกระวาย หวังจะจับหัวงู หางงู ดึงกันไป-ดึงกันมา ทั้งที่ถูกกัด ถูกพิษ กันไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่ ทั้งประเภทที่จับแล้วไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ไปจนประเภทที่โดดไปคว้ากระโถน ยกกระโถน มาแบกไว้บนบ่า บนหัว เอาดื้อๆ ซะยังงั้น ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้...เลยคงต้องขออนุญาตนำเอาคำเทศน์ของ หลวงพ่อชา มาฉายซ้ำกันอีกรอบ เผื่อว่าจะได้ เปรี้ยง จากหัวกบาลไปถึงริดสีดวงทวาร ของบรรดาผู้ที่กำลังเอาชนะคะคานกันในทางการเมือง กำลังช่วงชิงอำนาจทางการเมือง กันในแต่ละพรรค แต่ละค่าย และแต่ละก๊กได้มั่ง ไม่มากก็น้อย...
                                                             --------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"