อดีตสีกากี ขออาสาพลิกโฉมตำรวจ


เพิ่มเพื่อน    

        นิยามของคำว่า “คนรุ่นใหม่” ในวงการการเมือง ไม่ใช่จำกัดเฉพาะอยู่เพียงแค่ช่วงอายุ แต่รวมถึงผู้ที่ยังไม่เคยชิมลางกับแวดวงดังกล่าว อย่าง “ผศ.ดร.ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นนายทะเบียนของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ซึ่งที่ผ่านมาประกอบอาชีพมาแล้ว 2 อาชีพ

        ดร.ร.ต.อ.จอมเดช เล่าว่า เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 60 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 44 ชีวิตการทำงานเริ่มจากการเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลหนองจอก จากนั้นไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ในสาขาอาชญาวิทยา และกลับมาเป็นตำรวจฝ่ายอำนวยการ ต่อมาโดนย้ายไปเป็นนายเวรผู้การนครบาล 3 ซึ่งขณะนั้น คือ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หลังจากนั้นก็ไปเป็นนายเวรของ พล.ต.ต.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์ และในเวลาเดียวกันก็ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านอาชญาวิทยา ที่มหาวิทยาลัยมหิดล

        ครั้นใกล้จบปริญญาเอกรู้สึกอยากเป็นอาจารย์ เพราะตามที่ได้สัมผัสความเจริญก้าวหน้าในสำนักตำรวจแห่งชาติ(สตช.) รู้สึกไม่ถูกจริตตัวเอง เพราะการจะเจริญเติบโตในหน้าที่ต้องพึ่งคนอื่น ต้องใช้ระบบตั๋ว ต้องวิ่งเพื่อเอาตำแหน่งทั้งชีวิต วิ่งจนเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งรู้สึกว่าเหนื่อยและไม่สนุกกับเรื่องราวแบบนี้ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ว่าเป็นตำรวจต้องวิ่งจับผู้ร้าย เพราะตำรวจประเทศเรามีงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานจับผู้ร้ายจำนวนมาก และต้องทำงานเหล่านี้เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง นอกจากนี้เหตุผลที่ตัดสินใจเป็นอาจารย์ เพราะตำรวจเงินเดือนน้อย ดังนั้น จึงตัดสินใจผันตัวเองมาเป็นอาจารย์ ซึ่งค่าตอบแทนสมเหตุสมผล

        ถามถึงแมวมองที่ชักชวนเข้าวงการการเมือง ดร.ร.ต.อ.จอมเดช บอกว่า “อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ชวนมาทำงาน ซึ่งอาจารย์เป็นเจ้านายโดยตรง ท่านเป็นอธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งผมเป็นอาจารย์อยู่ที่นั้น สอนวิชาอาชญาวิทยา ผมมีไอเดียเรื่องการปฏิรูปตำรวจ เขียนปฏิรูปตำรวจให้อาจารย์เอนกตอนที่ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เชิญให้ตั้งสถาบันปฏิรูปประเทศ ผมก็ไปนั่งเขียนให้ พอมีพรรครวมพลังประชาชาติไทย อ.เอนกก็ชวนมาทำ และแน่นอนว่าผมมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าการเมืองมาเพื่อปฏิรูปตำรวจ”  

        ดร.ร.ต.อ.จอมเดช กล่าวถึงแนวคิดปฏิรูปตำรวจว่า  เราควรจะแบ่งตำรวจออกเป็น 2 ส่วน คือ ตำรวจจังหวัด โดยให้ขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัด และในการแต่งตั้งจะมีคณะกรรมการจังหวัด ทั้งนี้ เมื่อย้ายสังกัดที่จังหวัดใดแล้วให้อยู่ที่จังหวัดนั้นทั้งชีวิต ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านเราอาจให้ตำรวจทำบันทึกว่าอยากกลับภูมิลำเนาหรือจังหวัดที่อยากไป แต่ห้ามย้ายออกแล้ว

        ในทางกลับกัน หากสนุกกับการโยกย้ายก็ให้มาสังกัดตำรวจส่วนกลาง นอกจากจะนั่งทำงานที่ สตช. ยังมีที่นั่งที่กองบัญชาการภาคทั้ง 10 ภาค ซึ่งจะเป็นที่นั่งของตำรวจส่วนกลาง เช่น ภาค 8 นั่งอยู่ภูเก็ต หากตำรวจภูมิภาคทำงานไม่ได้ หรือตำรวจจังหวัดมีส่วนพัวพันคดี ก็ให้ตำรวจส่วนกลางเข้าไปทำงานแทน ทั้งนี้ ตำรวจส่วนกลางจะมีไม่มากเหมือนที่เป็นอยู่ จะยุบเหลือแค่ 3 หมื่นคน ทำหน้าที่เหมือนเป็น FBI หรือกองปราบบ้านเรา

        “ผู้กำกับทุกวันนี้เฉพาะเงินเดือนอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาท ที่เหลือมาจากเงินทุจริตทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นข้ออ้างให้คอร์รัปชัน สารวัตรรวมๆ รายได้ 2 หมื่นกว่าบาท ซึ่งพวกเขาอยู่ไม่ได้ เงินส่งลูกน้องไปติดตามคนร้ายเพื่อทำคดีนั้น แม้จะมีค่าใช้จ่ายให้ แต่กว่าจะเบิกได้ช้ามาก มันคือความทุกข์ยากของตำรวจ จึงต้องใช้เงินคอร์รัปชันในการทำงาน” ร.ต.อ.จอมเดชกล่าว

        อย่างไรก็ตาม นายทะเบียนของพรรค รปช.กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานนั้น ตนคิดว่าโอเค โดยเฉพาะกรณีกระจายงานจราจรให้เป็นของ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือว่าเป็นความคิดที่ก้าวหน้า เพราะงานจราจรต้องไม่ใช่งานตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ตนพูดมาตลอด และอาจารย์มีชัยเขียนให้แล้ว ซึ่งจะใช้เวลาเปลี่ยนผ่านประมาณ 2 ปี ให้งานจราจรกระจายเป็นงานท้องถิ่น เท่ากับต่อไปนี้งานจราจรจะกลายเป็นงานของเทศกิจ.

 

 

ชื่อ ผศ.ดร.ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ ชื่อเล่น แอ็ค

 

วันเกิด 17 ก.พ.2528 ปัจจุบันอายุ 33 ปี

 

การศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก วิชาอาชญาวิทยา

 

ประสบการณ์ทำงาน อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชาอาชญาวิทยา วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"