ผมตั้งคำถามคนอื่นมาตลอดชีวิต
ถามว่าผมเคยตั้งคำถามตัวเองไหม
คำตอบคือ บางครั้งมีคำถามให้ตัวเอง
แต่ดันแย่งตอบก่อนที่คำถามจะโผล่ในใจ
ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือให้คนอื่นถาม
เมื่อคนอื่นตั้งคำถาม
เราก็ไม่ต้องคิดคำถาม
คำตอบไม่ใช่ปัญหา
เพราะมันวางเรียงอยู่ขอบๆ ของความนึกคิดอยู่แล้ว
เคยคิดว่าจะทำรายการที่ถามตัวเอง
ดูซิว่าจะจนตรอกคำถามตัวเองหรือเปล่า
หรือจะหงุดหงิดตัวเองที่ถามไม่ได้ตรงกับที่ควรจะถาม
ก็เลยล้มเลิกความคิด
แต่ก็ไม่แน่
เคยเห็นหนังสือซีรีส์ The Last Interview ในร้านหนังสือวันหนึ่ง
หันซ้ายหันขวาไม่มีใครแอบมอง
ก็เลยแอบคิดเองว่าน่าจะจัดแจงให้มีการ “สัมภาษณ์ตัวเอง”
เป็น The Last Interview With Myself
แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจะมี Last Interview กับตัวเองได้อย่างไร
ในเมื่อยังไม่มี The First Interview With Myself
ก็เลยต้องคิดใหม่
คิดว่าจะสัมภาษณ์ตัวเองเป็นครั้งแรกก่อน
แต่ก็บอกตัวเองว่ามันจะมีปัญหาอีกข้อที่ยังไม่ได้คิดเอาไว้ล่วงหน้า
ถามตัวเองว่าถ้าหากมีการสัมภาษณ์ตัวเองครั้งแรก
เพื่อจะนำไปสู่การสัมภาษณ์ตัวเองครั้งสุดท้าย
จะทิ้งระยะห่างแค่ไหนจึงจะไม่ให้ “ครั้งแรก” กับ “ครั้งสุดท้าย” มันเป็น “ครั้งเดียวกัน”
เพราะในวัยอย่างนี้ วันพรุ่งนี้กับการหายใจเฮือกสุดท้ายไม่รู้อะไรจะมาถึงก่อน
ด้วยเหตุนี้ จึงผัดวันประกันพรุ่งมาถึงวันนี้
ก็บังเอิญมีเหตุที่จะต้องทำให้มีบางคนอยากจะมาสัมภาษณ์ผม
ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสัมภาษณ์เท่าไหร่นัก
นอกจากอยากรู้ว่าคน “บ้าข่าว” จะ “บ้า” ไปถึงไหน
ผมก็ได้แต่บอกว่ามันก็ต้องบ้าไปตลอด หยุดบ้าก็ไม่บ้าจริงซิ อะไรทำนองนั้น
เขาอยากรู้ว่ามันง่ายนักหรือที่ทำอะไรมา 47 ปีแล้วเดินออกมาหน้าตาเฉย
ผมแจ้งเขาว่าผมไม่ได้เดินออกมาหน้าตาเฉย ผมออกมาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มนะ
เขาอยากรู้ว่าเสียใจหรือเสียดายหรือเสียไพ่หรือเปล่าที่ต้องเดินทางครั้งใหม่
ผมอยากจะบอกเขาว่า “นี่คุณถามเหมือนถามญาติในงานศพว่ารู้สึกอย่างไรกับการจากไปของคนที่รูปวางไว้ตรงหน้าโลงเลยน่ะ”
เสียดายผมไม่มีความกล้าหาญพอที่จะตอบอย่างนั้น
ผมเพียงยกเอาคำตอบของคุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมช ในกรณีละม้ายกันนี้มาเล่าให้เขาฟัง
(หากคุณไม่รู้ว่าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์เคยตอบคำถามเยี่ยงนี้ว่าอย่างไรก็ไม่รู้ต่อไปเถิด)
แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกครับ
ผมคิดว่าเป็นโชคดีมากที่มีเหตุที่ทำให้ผมออกมา “เดินทางครั้งใหม่”
ในวัยที่อาจมีบางคนเสนอว่าผมควรจะ “หลบออกนอกเส้นทาง”
จะได้ไม่เกะกะใคร
แต่ผมเป็นคนชอบเกะกะตัวเอง
ใครบอกว่าทำไม่ได้ ทำยาก ไม่มีใครเขาทำกัน ผมจะตั้งใจทำเป็นพิเศษ
ผมก็จะออกมาเกะกะ แต่ไม่ระราน
เพราะตลอดชีวิตที่ทำสื่อนั้น ใครบอกว่าอย่าทำ ผมต้องทำ
ใครบอกว่าทำไม่ได้ ผมบอกว่าต้องทำ
ใครไม่ถาม ผมถาม Why?
ใครถาม Why? ผมถาม Why not?
เพราะพายุดิจิทัลหนักหน่วงรุนแรงจากนวัตกรรมที่ทำให้เกิด “ความปั่นป่วน” ไปทุกวงการ ทำให้ผมเลี้ยวเข้าซอยไปดักจับปลากัดในหนองบึงอย่างที่เคยฝันไว้ว่าจะทำตอนเกษียณไม่ได้แล้ว พอเห็นคลื่นใหญ่ของ Perfect Storm ถาโถมเข้ามา
ใครต่อใครบอกว่ามันน่ากลัว มันเป็นวิกฤติ ตายกันเป็นเบือ
ผมออกไปหยั่งเชิงแล้ว ลองถอดสมการ Disruption ดูแล้ว สรุปว่ามันสนุกมากกว่าน่ากลัว ขี่ยอดคลื่นท้าทายกว่าติดอยู่ในเรือเอี้ยมจุ๊นเป็นไหนๆ
กระโจนลงใน “เรือชูชีพ” ลำเล็กแต่ปราดเปรียว วิ่งแล่นสวนคลื่นลมได้อย่างตื่นตาตื่นใจ คนอยู่บนเรือใหญ่เห็นอาจจะแปลกใจงุนงงสนเท่ห์
ผมโบกมือเชิญชวนให้ทุกคนบนเรือเก่าลงมาหาเรือเล็กฝ่าคลื่นลมได้ดีกว่า ตื่นเต้นกว่า, เลือดสูบฉีดดีกว่า, สนุกกว่า
นั่นอาจจะเป็นที่มาของคนข่าวบางสำนักขอตั้งวงซักถามผมว่า
คุณจะบ้าไปถึงไหน?
คำตอบของผมต่อหลายคำถามอยู่ในหนังสือเล่มนี้
ผมได้ขออนุญาตคนชวนผมคุยถ่ายทอดมายังผู้ที่สนใจว่า
การนับหนึ่งใหม่ในวัยขึ้น 73 มันสนุกตรงไหน
ผมบอกได้เลยครับว่าโคตรสนุก
อย่าถามผมนะครับว่ายังบ้าพอที่จะตะโกนสุดเสียงว่า
“ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา” หรือเปล่า
ตอบว่า...ขอปรับแก้เล็กน้อยครับว่า
“ผิดจากนี้ไม่ใช่กู”
เพราะเมื่อนับหนึ่งใหม่ในวัยนี้จะไม่อาสาพูดแทนใครอีกแล้วครับ!
(หนังสือเล่มนี้ตั้งใจจะให้เป็น Limited Edition ไม่มีวางขาย จึงไม่ตั้งราคา มอบให้เฉพาะคนที่สนใจจะอ่านจริงๆ ครับ!).
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |