ยุคสมัยนี้เป็นโอกาสของคนที่รู้จักเทคโนโลยีโดยแท้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องจำกัดหรือผูกขาดโดยคนรุ่นใหม่ อายุน้อยๆ ขอเพียงแต่รู้จักหาความรู้ใส่ตัว มนุษย์ลุงมนุษย์ป้าก็สามารถใช้ประสบการณ์ที่มากกว่า เดินนำหน้าเด็กรุ่นหลังด้วยเครื่องมือยุคดิจิตอลนี่แหละ

      ที่ชวนมองมุมนี้ ก็เพราะจะเห็นและได้ยินข่าวอย่างสม่ำเสมอว่า แม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านก็สามารถร่ำรวยหาเงินหาสตางค์ได้ไม่น้อยหน้าพวกนักธุรกิจทั้งหลาย ถ้าหากพวกเธอรู้จักใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กให้เป็นประโยชน์ในการทำมาหากิน

      เรื่องราวของเด็กน้อยวัยไม่ถึง 2 ขวบ แต่สามารถทำรายได้เป็นหมื่นๆ เหรียญฯ ในแต่ละเดือน มากมายเสียยิ่งกว่าพ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเสียอีก นับเป็นตัวอย่างหนึ่ง เมื่อแม่ที่เลี้ยงเจ้าชายน้อยที่บ้าน ขยันที่จะใช้มือถือถ่ายรูปอิริยาบถต่างๆ ของลูก แล้วก็โพสต์ขึ้นอินสตาแกรม แล้วปรากฏว่ารูปแสนน่ารักน่าชังของลูกชาย "โดน" ตาถูกใจคนในโซเชียลจนมีผู้ติดตามหรือ Fallow มากมายนับแสน ส่งผลให้สินค้าต่างๆ แห่เข้าไปติดต่อให้เจ้าหนูน้อยเป็นพรีเซนเตอร์

      ได้เงินแบบง่ายๆ และไม่รู้ตัว รวมทั้งไม่ได้ตั้งใจ

      แต่คิดว่าจะโชคดีแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ...อันนี้คงต้องแล้วแต่ชะตาชีวิต จริงไหมคะ

      อย่างไรก็ตาม ในความโชคดี กลายเป็นเซเลบตัวน้อยในระยะเวลาไม่กี่เดือนบนโลกออนไลน์นั้น ดูเหมือนมีข่าวออกมาแล้วว่า คุณแม่อาจจะได้เงินไม่คุ้มเสีย!!

      เสียความเป็นส่วนตัว

        เสียความอิสระ

      เพราะเมื่อกลายเป็นธุรกิจ เจ้าของสินค้าก็ขอสงวนสิทธิ์ว่า คุณแม่หรือครอบครัวจะโพสต์รูปของหนูน้อยโดยไม่ผ่านการตรวจสอบของทีมงานของพวกเขาก่อนไม่ได้ เพราะภาพลักษณ์ของหนูน้อยต้องดูดีมีสไตล์และน่ารักเสมอ จะให้มีขี้มูกโป่ง ซอสเปื้อนปาก กางเกงเปียกฉี่มิได้เด็ดขาด

      นอกจากนั้นที่น่าประหลาดใจคือ คุณแม่ของเด็กเซเลบบางคนกลับต้องควักเงินไปจ่ายค่าจิตแพทย์ ซึ่งคิดบวกลบคูณหารแล้วอาจจะมากกว่ารายได้หรือประโยชน์ที่เคยคิดว่าดีก็ได้...ใครจะไปรู้

      นี่คงสามารถเรียกได้ว่า คนนอกอยากเข้ามาสู่โลกแห่งการทำเงินในสังคมออนไลน์ ในขณะที่คนในเริ่มอยากจะออก ขอไปใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย อยากแต่งตัวแบบไหน กินข้าวกับอะไรตามอำเภอใจจะดีกว่า

      นี่คือชีวิตโลกในมุมไม่สวย ซึ่งแล้วแต่ว่าเราจะเลือกใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยีแบบไหน และอย่างไร..จริงๆ นะคะ.

                                                              "ป้าเอง"