เราคือ พรรคกลางซ้าย
พรรคอนาคตใหม่ โดยการนำของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองตั้งใหม่ที่ถูกจับตามองอย่างมากในสนามเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ภายใต้การประกาศตัวเด่นชัดว่าเป็น พรรคฝั่งประชาธิปไตย-ไม่เอา คสช.-คัดค้านการสืบทอดอำนาจ-ล้างมรดก คสช.-แก้รัฐธรรมนูญ ล้มยุทธศาสตร์ชาติ
ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่จะมีการแถลงข่าวในวันอาทิตย์ที่ 16 ธ.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเปิดตัวนโยบายพรรคที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ภายใต้สโลแกน เปิดวิสัยทัศน์ เปลี่ยนอนาคต ที่จะแถลงนโยบายพรรคแยกเป็น 3 นโยบายฐานราก-8 นโยบายเสาหลัก-1 ปักธงประชาธิปไตย ที่ก็มีอาทิ นโยบายปฏิรูปกองทัพ เป็นต้น
พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่-อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่เป็นอดีตทหารเพียงคนเดียวที่เป็นกรรมการบริหารพรรค กล่าวว่า การแถลงของพรรคในวันที่ 16 ธ.ค. จะแถลงถึงนโยบายหลักๆ ของพรรค แต่ลำดับแรก สิ่งที่จำเป็นมาก ต้องอธิบายก่อนคือ ลักษณะของพรรคมี 2 อย่างที่แตกต่างจากพรรคอื่น คือ 1.เราจะเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายชัดเจนว่าเราคือพรรคกลางซ้าย เรียกว่า โซเชียลเดโมแครต หรือเสรีนิยมกึ่งปีกซ้าย คือเศรษฐกิจเสรีและรัฐสวัสดิการ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็แบบประเทศสแกนดิเนเวีย
เราจะชี้จุดของเราชัดเจน ไม่สวิงซ้าย ไม่สวิงขวา แต่เป็นกลางซ้าย คือเราสนับสนุนการแข่งขันที่เสรี แต่ต้องมีความเท่าเทียมกันในคนที่เสียโอกาส หรือแนวๆ รัฐสวัสดิการ เช่น คนมีการศึกษาน้อยต้องได้รับการศึกษา พรรคกลางซ้าย เราบอกชัดเจนว่าเราเป็นใคร ไม่ใช่อะไรก็ได้ เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา ใครจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เราเป็นแบบนี้
2.พรรคอนาคตใหม่จะไม่ใช้วิธีที่จะต้องให้คนนำเงินมาให้พรรค มีนายทุนถือกระเป๋าเข้าพรรค ทุกคนทำงานภายใต้เงินบริจาคหรือเงินสมาชิกที่ให้กับพรรค โดยนำเงินดังกล่าวมาบริหารจัดการตามกฎหมายที่ กกต.กำหนด ทำให้คนในพรรคทำงานโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ต้องทำงานเพื่อตอบแทนใคร จึงเป็นพรรคการเมืองที่ยังไงก็ได้ ไม่ต้องสนใจใคร ซึ่งไม่เคยมีแบบนี้ เพราะปกติพรรคการเมืองต้องฟังหัวหน้าพรรค นายทุนพรรค เจ้าของพรรค
เมื่อลักษณะของเราคือเสรีนิยมกึ่งซ้าย ดังนั้นเราต้องต่อต้านเผด็จการ ไม่เช่นนั้นเกิดเสรีนิยมไม่ได้ เพราะทุนผูกขาดมันผูกประเทศไทยอยู่ จึงต้องปลดล็อกการผูกขาดผลประโยชน์ในประเทศไทย ซึ่งจะทำได้มี 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรกก็คือ ต้องยุติการสืบทอดอำนาจ คสช.ให้ได้ สอง ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยุติการทำรัฐประหาร อย่างผมก็จะไปดูเรื่องว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ทหารต้องเป็นทหารอาชีพ ไม่ออกมายึดอำนาจ ไม่มีทหารการเมือง สาม คือไปดูเรื่องผลพวงที่ คสช.ทำไว้ ซึ่งเป็นการรัฐประหารล่วงหน้า เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซึ่งคือการรัฐประหารต่อไปในอนาคต เพราะสามารถใช้ปลดรัฐบาลในอนาคตได้ทุกรัฐบาลที่ไม่ชอบใจ ผลคือไม่จำเป็นต้องเอาทหารออกมา แต่เขาจะยึดอำนาจได้ตลอดไป เหมือนกับปูลิตบูโรของฝ่ายคอมมิวนิสต์เขา มีสิทธิ์ปลดผู้บริหารประเทศได้ ซึ่งอันตรายมาก เพราะจะเกิดการรวมศูนย์ก็จบเลย ประชาชนไม่มีทางดิ้น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องจัดการให้หมด เราจะปลดให้ประชาชนพ้นจากการผูกขาดอำนาจและทุน
พลโทพงศกร ย้ำว่า จุดยืน-คำประกาศการเป็น พรรคกลางซ้าย ของอนาคตใหม่ เป็นแนวทางที่ไม่เคยมี อันนี้ชัดเจน เราจะยืนตรงนี้ ซ้ายไป เราก็ไม่เอา ขวาไปเราก็ไม่เอา หากจะอนุรักษ์มากไปก็จะเป็นการไม่ให้รัฐบาลทำอะไร อย่างเห็นทางเท้าไม่สะอาด ก็ไล่คนทำมาหากิน อันนี้คือมองแบบขวา แต่หากคนที่เห็นใจคนจน ก็อาจให้มาคุยกันได้หรือไม่ว่าจะอยู่กันตรงไหน ที่เขาอยู่ได้โดยทางเท้ายังสะอาดอยู่ คือหลักของเรา
ไม่เอาซ้ายสุด ที่แบบจะมาพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน จะมาจับอาวุธยิงอะไรกัน เราไม่เอา อันนั้นไร้สาระ เป็นไปไม่ได้
...พรรคก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการค้าเสรี แต่ก็จะเก็บภาษีมากขึ้น เพราะจะไปดูแลเรื่องสวัสดิการ ตรงไหนไม่มีประสิทธิภาพเราก็ดึงมา อย่างงบทหาร ที่ตอนนี้เพิ่มขึ้นมา 2 เท่า เราก็จะไปดึงมา เพื่อไปช่วยด้านต่างๆ เช่น การศึกษา ใครที่เสียโอกาส เราจะให้โอกาสเขา แต่ก็จะไม่ถึงกับจะเป็นแบบประเทศอย่างสแกนดิเนเวีย คือใกล้เคียง แต่ยังไม่ถึง เพราะว่าประเทศเรายังไม่รวยแบบเขา ลำดับแรกต้องหางบประมาณก่อน ตรงไหนที่มันเกินอยู่ มีไขมัน ก็รีดเอามาแล้วทำให้มีประสิทธิภาพเพื่อจะได้มีงบประมาณเข้ามา คนไหนที่รวยเกินไป ก็เก็บภาษีเพิ่ม ที่ดินที่มีมากมาย ก็จัดเก็บภาษีแบบก้าวหน้า จะได้มีการปล่อยที่ดินออกมา ราคาที่ดินจะได้ถูกลง เพื่อว่าพอที่ดินราคาถูก คนทำการเกษตรก็จะได้มีกำลังใจทำงาน แล้วก็หมุนขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ทุกคนมีความสุขทั่วกัน
ส่วนการใช้งบประมาณ เราก็จะใช้งบที่มีอยู่แล้วตอนนี้ โดยพิจารณาโยกจากงบที่เป็นไขมัน ที่ไม่จำเป็น แล้วโยกไปยังที่สำคัญคือ การศึกษาและด้านสาธารณสุข แต่ว่าโครงสร้างต้องเปลี่ยนด้วย อย่าไปคิดแค่โยกเงินในระบบ โครงสร้างใหญ่ต้องเปลี่ยน โดยนำระบบการผลิตทั้งหมดกระจายสู่ชนบท สร้างเมืองในชนบทเยอะๆ ด้วยการกระจายอำนาจ เช่น การจัดเก็บภาษีโรงงาน ก็ให้เก็บที่แหล่งที่ตั้ง เช่น ในต่างจังหวัด ไม่ใช่เก็บจากสำนักงานในกรุงเทพฯ หลักคือความคิดหลักต้องเปลี่ยน ต้องนำเงินไปไว้ข้างล่างฐานราก ไม่ใช่ไปไว้ข้างบน
ดังนั้นนโยบายหลักๆ ที่จะแถลง จะเป็นเรื่องทำอย่างไรให้คนเท่าเทียมกันทั้งประเทศ ให้คนได้โอกาสเท่ากัน เน้นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยของโลกมาใช้ แล้วดูองค์ประกอบต่างๆ เช่น ระบบการศึกษาของเราพร้อมหรือไม่ แนวทางกระจายอำนาจเป็นอย่างไร รวมถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม การทหาร ว่าจะปฏิรูปโครงสร้างกองทัพอย่างไร
ซัดยุค คสช.ชักหัวคิวดุ 45 เปอร์เซ็นต์
-แต่เรื่องงบประมาณกองทัพ ทหารก็อ้างว่าต้องนำงบมาพัฒนา ไม่เช่นนั้นกองทัพก็จะไม่พัฒนา แบบนี้จะให้ดึงงบทหารออกมาโดยอ้างเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน?
ก็ไม่ได้ว่าอะไรพัฒนาได้ คืออันนี้เป็นเรื่องภายใน ระบบทหารก็ต้องปรับ ระบบพลเรือนก็ต้องปรับ ก็พอกัน ทั้งทหารและพลเรือน ผมก็อยู่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายข้าราชการพลเรือนและทหาร ก็เห็นหมด มันโกงกันทั้งนั้นข้าราชการ
"แต่ช่วงนี้คอร์รัปชันมัน 45 เปอร์เซ็นต์ เมื่อก่อนสมัยตอนพลเรือน 15 เปอร์เซ็นต์ คอมมิชชัน ทุกอย่างในประเทศไทย ไม่เฉพาะเรื่องอาวุธ เพื่อนผมเป็นข้าราชการพลเรือน เวลาไปกินเลี้ยงกันเขาเล่าให้ฟัง ให้ญาติเขาไปของานราชการ แล้วเจอแบบนี้ แต่ก่อนแค่นั้น แต่ตอนนี้มันแบบนี้ พูดได้แค่นั้น”
พลโทพงศกร ยืนยันว่า นโยบายปฏิรูปกองทัพจะเป็นนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ในตอนหาเสียงแน่นอน เพราะพรรคพูดมาตลอดว่าต้องหยุดรัฐประหารให้ได้ก่อน ซึ่งการหยุดไม่มีอะไรมาก ข้อสำคัญให้ประชาชนสู้ได้ อย่างตอน รธน.ปี 2540 บอกว่า เมื่อมีการทำอะไรที่ไม่ตรงกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลักการคือรัฐประหารให้ประชาชนออกไปประท้วงอย่างสันติ คุณสติดีหรือเปล่าเนี่ย คนถือปืนมาแล้ว ให้ไปนั่งอย่างสันติ ก็โดนรวบหมด มันต้องสู้ได้ อย่างในตุรกี สู้ได้ไหม จับทหารเลย มันต้องแบบนั้นถึงจะชนะ ดังนั้นสิ่งที่ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญก็คือ คุณต้องสามารถสู้ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
เรื่องที่ 2 เพื่อไม่ให้ฝ่ายทำรัฐประหารไปขอให้ตุลาการรับรองให้เขาเป็น รัฏฐาธิปัตย์ก็ให้เขียนไว้ว่า การทำรัฐประหารไม่ให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์และให้มีโทษทางอาญา ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นหากเกิดขึ้นก็ทำอะไรแทบไม่ได้แล้ว แต่กระบวนการจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.คือต้องเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพให้เป็นแบบสากล คือไม่ให้มีผู้บัญชาการเหล่าทัพแบบทุกวันนี้ แต่ให้เป็นแบบ คณะเสนาธิการร่วม แบบตะวันตก แบบจีน ก็จบ ที่จีน ยุโรป สหรัฐ ทหารอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่ใช่ทหารเป็นรัฐบาล ประเทศเขาถึงเจริญ
แค่ 3 เรื่องใหญ่ๆ นี้ ทำก็เปลี่ยนแล้ว ที่เหลือก็ไปทำข้างใน เช่น การลดขนาดกองทัพ บนหลักการคือหยุดรัฐประหารให้ได้ก่อน โดยการแก้รัฐธรรมนูญแล้วก็เปลี่ยนโครงสร้างทหารให้เป็นแบบคณะเสนาธิการร่วม โดยให้รัฐบาลพลเรือนเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร
-แต่หลังเลือกตั้ง พอเป็นรัฐบาลปกติ รัฐบาลพลเรือนจะกล้าแตะทหาร กองทัพหรือไม่?
ก็อยู่ที่ประชาชนจะออกมาล้นหลามหรือไม่ หากประชาชนถูกหลอกว่าอย่าไปเลือกตั้ง ให้นอนหลับทับสิทธิ์ ก็เสียรู้เขา หากคนออกมาเยอะๆ ก็มีสิทธิ์แก้ ถ้าฝ่ายประชาธิปไตย เอาให้ได้สัก 300 เสียง ไม่ต้องถึงขนาด 376 เสียง ถ้าได้สัก 300 เสียง ก็มีสิทธิ์แก้ไขได้ เพราะแสดงให้เห็นแล้วว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ต้องการระบบนี้
-แต่ในหลักความเป็นจริงต่อให้เขียนไว้ แต่หากมีการรัฐประหารแล้วทำสำเร็จ ก็ต้องฉีกรัฐธรรมนูญอยู่ดี?
ฉีกก็ฉีกไป ฉีกไปเลย แต่มันไม่ขาด ถึงบอกว่าต้องเขียนให้สู้ได้ ก็จะกลายเป็นว่ารัฐธรรมนูญที่จะถูกฉีก ยังไม่ถูกฉีก เพราะรัฐธรรมนูญยังอยู่ ศาลไม่สามารถตัดสินว่ารัฐธรรมนูญหายไปได้ ที่ผ่านมาที่รัฐธรรมนูญถูกฉีกขาดไปได้ เพราะคนทำเชื่อว่าทำแล้วจะให้ศาลรับรองได้ มีการนิรโทษกรรมต่างๆ แต่เมื่อเขียนไม่ให้ศาลรับรอง มันก็ไม่มีโอกาสที่รัฐธรรมนูญจะถูกฉีก ถึงฉีกไปด้วยอำนาจ แต่หากประชาชนยังสู้ โดยถือรัฐธรรมนูญเดิม รัฐธรรมนูญก็ยังอยู่ แต่ต้องสู้ก่อน แต่ถ้าประชาชนเห็นว่า รัฐบาลมันแย่ แล้วจะปล่อยให้มีการยึดอำนาจก็เรื่องของเขา
ถามแย้งว่า แต่ตอนรัฐบาลพลเรือนอย่างสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สุดท้ายก็ถูกทหารกล่อมให้คล้อยตามกองทัพ พลโทพงศกร อดีตรองเลขาธิการ สมช. ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตอบกลับว่าไม่ใช่ เพราะไม่มีอำนาจ ก็ต้องแก้ให้มีอำนาจ ถ้าแก้ก็จบแล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้วมันจบเลย มันจะเปลี่ยนทุกอย่าง เช่น หากเปลี่ยนใช้ระบบเสนาธิการร่วม ก็คือจบเลย โดยให้อำนาจทุกอย่างอยู่ที่รัฐบาลพลเรือน ก็จบเลยโดยอัตโนมัติ พรรคอนาคตใหม่จะชูแนวทางนี้เลย คือให้ใช้ระบบคณะเสนาธิการร่วม คุณไม่ยอม ก็ต้องเปลี่ยน เพราะประชาชนเขาให้มา ก็ต้องมาแก้
อย่างไรก็ตาม พลโทพงศกร มองบทบาทกองทัพในช่วงเลือกตั้งว่า กองทัพหลักจะไม่มายุ่ง เพราะเขาประกาศแล้ว แต่หน่วยอย่าง กอ.รมน.ที่มีคนของกองทัพไปอยู่ด้วยอาจจะมีส่วน เพราะ กอ.รมน.ก็มี ตำรวจ ทหารอยู่ คนเหล่านี้อยู่กับรัฐบาลอยู่ เขาก็ต้องช่วยรัฐบาล อย่างสกัดอะไรต่างๆ อย่างตอนนี้ก็มีอยู่
มีการขู่ให้ถอนตัว มีการขู่ให้อยู่เฉยๆ มีการขู่ห้ามลงสมัคร ส.ส. ก็ทำให้มีคนมาขอลาออกหลายคน โดนขู่ คนที่โดนเป็นคนธรรมดา แต่ถูกคุกคามให้ถอนตัว ไม่ใช่คุกคามจากพรรคการเมืองเฉยๆ แต่เป็นอิทธิพลเลย บีบทางอ้อม พอเห็นมีแววก็บีบเลย
พลโทพงศกร รับว่าด้วยแนวทางให้ปฏิรูปกองทัพดังกล่าว ทำให้พรรคอนาคตใหม่ ตกเป็นเป้าของทหาร และ คสช.อยู่แล้ว และเป็นมาตั้งนานแล้ว ที่มีพรรคการเมืองต่างๆ ออกไปหาสมาชิกพรรคกัน ก็มีอยู่พรรคเดียวที่ถูกจับตามอง ถูกตามถ่ายรูป พรรคอื่นอย่างเพื่อไทยยังไม่โดนเลย
สูตรปรองดองดึง UN เป็นคนกลาง
เมื่อถามถึงว่า พรรคอนาคตใหม่มีนโยบาย-แนวทางการสร้างความปรองดองอย่างไรหรือไม่ พลโทพงศกร เผยว่า เรื่องนี้พรรคยังไม่มีนโยบาย ยังไม่คุยกันเรื่องนี้ แต่ความเห็นส่วนตัว เห็นว่าต้องดูแนวทางแบบที่แอฟริกาใต้ คือต้องมีคนกลาง แต่ประเทศไทย คนกลางไม่มี ต้องใช้สหประชาชาติ ที่ตีกันทุกวันนี้ ตอนนี้เริ่มซาไปแล้วทุกคนค่อยๆ ลืมกันไปแล้ว แต่หลักการสำคัญที่สุดคือ คนผิดต้องมีความผิด คนถูกต้องได้รับการเยียวยา ถ้าคนผิดปล่อย ไม่มีปรองดอง จะทำยังไง อย่างที่แอฟริกาใต้ ก็ใช้วิธีนำประวัติที่มีมาไล่ดูกันเลย แล้วมานั่งดูด้วยกันเลย พอทำแบบนั้น บางคนร้องไห้เพราะว่าคิดไม่ถึงว่าตัวเองไปทำร้ายเขาได้ขนาดนั้น ไปสนับสนุนแล้วเกิดการทำร้ายฆ่ากันได้ขนาดนั้น แล้วก็เกิดการสะทกสะท้อนว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรทำอีกต่อไป คนที่เป็นตัวการก็ต้องโดนลงโทษไป แต่คนที่เหลือสังคมจะเข้าใจและบอกว่าไม่เอาแล้วแบบนี้ และเป็นบทเรียนที่จะอยู่ด้วยกัน ต้องดูของแอฟริกาใต้ แต่ถ้าทำจริงประเทศไทยต้องสหประชาชาติลง เพราะระบบศาลไทยใช้การไม่ได้ ต้องใช้ระบบของยูเอ็น และกระบวนการของยูเอ็นทั้งหมด ซึ่งไม่ได้ยากอะไร รัฐบาลเป็นเจ้าภาพเชิญเขามาได้
-แนวทางดังกล่าว คนก็จะมองว่าทำไมต้องให้ต่างชาติเข้ามาด้วย?
ก็ใช่น่ะสิ คนไทยตีกัน แล้วมีคนกลางเสียที่ไหน คนไทยไม่มี ไม่มีคนกลาง มีแต่คนเอาเปรียบคนเสียเปรียบ ต้องเอาคนกลาง ต่างชาติเข้ามาถูกแล้ว เพราะคนไทยตีกันเอง แบบนี้ก็จะตีกันไปเรื่อยๆ ไม่จบ กระบวนการยูเอ็น เขาก็จะนำคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสัมภาษณ์ มาพบมาเจอกัน เรียกกระบวนการสร้างความปรองดอง พอเห็นกันแล้วก็จะมีการให้อภัย มีการเยียวยากัน การให้อภัยคือการนิรโทษกรรม แต่เรื่องพวกนี้พรรคยังไม่คุยเรื่องนี้ เพราะยังไม่ใช่ประเด็น อันนี้ความเห็นส่วนตัว
หาเสียงต้องมีแค่ 2 ขั้ว เอา-ล้ม คสช.
พลโทพงศกร ย้ำว่า ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง การเมืองต้องแบ่งเป็น 2 ขั้วให้ชัดไปเลยคือ จะเอาหรือไม่เอา คสช. ส่วนพวกที่บอกว่าไม่เอาด้วยกับการสร้างกระแสแบ่งเป็น 2 ขั้วดังกล่าว มองว่าแบบนั้นก็คือฝ่าย คสช. พูดหลอกคนไปเฉยๆ สุดท้ายก็ คสช. เพราะเมื่อไม่บอกว่าจะต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้าน คสช. ก็เท่ากับคุณอยู่ฝ่าย คสช. มันไม่มีขั้วที่ 3 มันแค่หลอกคน ไม่มีใครเชื่อหรอก การไม่แสดงจุดยืนก็คือใช่ หากไม่แสดงจุดยืนไม่ชัด ก็คืออยู่ฝ่าย คสช.ไม่ต้องคิดมาก
-แต่ ปชป.อย่างอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคก็ออกมาวิจารณ์รัฐบาล คสช.?
อันนี้เล่นละคร สุดท้ายก็ไปเข้ากับฝ่าย คสช. ทาง คสช.หากไม่มีประชาธิปัตย์ไม่มีทางตั้งรัฐบาลได้
พลโทพงศกร กล่าวถึงเรื่องการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยเมื่อถามว่าระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว อาจทำให้คนที่จะไม่เอา คสช.ก็จะมีตัวเลือกมาก เช่น เพื่อไทย ไทยรักษาชาติ เพื่อชาติ อนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย ซึ่งเขาบอกว่า แล้วแต่ประชาชนนิยม ชอบสไตล์ไหนก็ว่าไป แต่ขอเป็นฝั่งเดียวกันใช้ได้ ซึ่งโดยหลักการฝั่งดังกล่าวก็ต้องจับมือกัน ไม่อย่างนั้นไปไม่รอด อย่างอนาคตใหม่ ก็ไม่รู้ว่าใครจะจับมือกับเรา แต่ถ้าประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เรายินดีทำงานด้วย แต่เขาจะเอาเราหรือเปล่า อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
พรรคประชาธิปัตย์ใครก็ได้ อาจจับมือกับประชาธิปัตย์ก็ได้ ถ้าเขาประกาศตัวชัดเจน ต้องบอกให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศชัดเจนเสียที เขาอาจรอให้ใกล้ๆ เลือกตั้งก็ได้ ทุกคนที่ประกาศไม่เอา คสช.ก็พร้อมหมด ยืนฝั่งประชาธิปไตยให้ได้ ฝ่ายประชาธิปไตยชนะอยู่แล้ว แต่ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ยังไงก็ชนะอยู่แล้ว
ถามถึงเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคอนาคตใหม่ พลโทพงศกร ย้ำจุดยืนว่า ยึดหลักประชาธิปไตย ยุติการสืบทอดอำนาจ แล้วก็ว่าตกลงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรือไม่ ถ้าหากบอกว่าปล่อยไปแบบนี้ พรรคก็ไม่คุยด้วย แต่ถ้าบอกจะแก้ไข รธน.เพื่อเปลี่ยนให้เป็นประชาธิปไตย โอเค ก็มาคุยกัน ไปด้วยกันได้ ไม่มีอะไรมาก ส่วนเรื่องว่า จะเอากระทรวงไหน เราไม่มีข้อต่อรอง แต่พรรคจะให้สมาชิกพรรคร่วมกันโหวต ว่าชอบนโยบายไหน เรียงลำดับ แล้วพรรคก็นำนโยบายนั้นไปคุยกับเขา บอกว่าสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ต้องการนโยบาย ก.ข.ค. เรียงตามลำดับ คุณให้ได้หรือไม่ เพราะนี่คือเสียงประชาชน ซึ่งหากเขาไม่เอาด้วย เราก็เป็นพรรคฝ่ายค้าน ไม่เห็นยาก เพราะนโยบายเราเป็นเรื่องที่ประชาชนเขาเลือกมา เช่น หากเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจริง ก็ต้องการที่จะแก้ไข รธน.ก็ให้ใส่เข้าไป หรือเรื่องการยุติการรัฐประหาร การปฏิรูปกองทัพ ถ้าตรงกันมันก็จบ มันไม่ยาก
-หากพรรคที่ร่วมตั้งรัฐบาลบอกว่าไม่อยากมีปัญหากับทหาร อย่างเรื่องล้างมรดก คสช. แบบนี้เขาบอกว่าขอไว้ก่อน?
ก็ต้องคุยกันว่าคุณจะขอไปอีกกี่นาน หากนาน เขาก็จะกลับมามีอำนาจใหม่ เพราะทหารก็ทำแบบนี้บ่อยๆ ตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภาทมิฬแล้ว ก็ขอเวลา 4-5 ปี ก็กลับมาแข็งไหม ช่วงนี้ต้องทำเลย อย่าช้า ส่วนมากจะพยายามซื้อเวลากัน ที่เป็นการคิดแบบการเมืองเก่า คือซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ให้อยู่ในตำแหน่งนานๆ ซึ่งความคิดแบบนี้ไม่ได้เปลี่ยน ไม่ได้ช่วยประเทศ แต่ช่วยตัวเอง แต่ว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไร
...ต้องไม่ประนีประนอม หากประนีประนอม ก็แพ้เขาอยู่อย่างนั้นแหละ คือคิดว่าจะประนีประนอมแล้วก็จะไปอยู่ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้เพื่อจะหาผลประโยชน์ไปเรื่อยๆ อันนี้คือการเมืองแบบเก่า แต่หากเห็นแก่ประชาชนต้องคิดอีกแบบหนึ่ง
เมื่อให้วิเคราะห์พรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างไร พลโทพงศกรบอกว่า มันไปหมด คนจะสั่งสอนอยู่แล้วไม่ต้องคิดเลย...เราก็ไม่ได้ประมาทเขา แต่ตัวอย่างคนที่แยกออกจากพรรคการเมืองเดิม เช่น กลุ่มเนวิน ชิดชอบ แล้วเหลือสักกี่คน ก็หลักการเดียวกัน คนเขาไม่เอาก็คือไม่เอา ตอนนี้คนไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นใคร รัฐธรรมนูญดีไซน์ให้กลับไปเหมือนยุคก่อน คือให้เอาตัวบุคคลเป็นหลัก หวังว่าตัวบุคคลซื้อได้ แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้คนเปลี่ยนแนวคิดแล้ว เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปเป็นเรื่องพรรค หรือใครจะเป็นนายกฯ หรือใครจะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย มองอยู่ 2-3 เรื่องนี้ จะไม่มองว่าคนที่ลงสมัครในเขตคือใคร เราถึงไม่ได้สนใจอดีต ส.ส.เลย พรรคส่งหน้าใหม่หมดเลย เห็นชื่อพรรค เลือกพรรคจบ
สำหรับโอกาสความเป็นไปที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาเป็นนายกฯ พลโทพงศกร อดีตเตรียมทหารรุ่น 14 ที่เป็นรุ่นน้องบิ๊กตู่ 2 ปี มองว่า โอกาสมี แต่ยาก บางคนบอกว่ามาแน่ๆ แต่ผมไม่เชื่อ เพราะจะไปหวัง จะไปรู้ได้ยังไง ว่ามี 250 เสียงในมือแน่ๆ เพราะต่อไปจะสั่งไม่ได้เหมือนเดิม ไม่ได้เหมือนสมัยเป็น ผบ.ทบ. แล้วกองทัพก็ไม่มาหนุน เขาถอยไปแล้ว ปัจจัยที่จะช่วยเขาทั้งหมดหายไปหมดแล้ว เป็นเหมือนพรรคการเมืองขาลงธรรมดาๆ แล้วพอจะหมดอำนาจ จะมีอำนาจใหม่ เขาก็อาจไม่เชื่อคุณอีกต่อไปก็ได้ พอได้เป็น ส.ว. สบายไปอีก 5 ปี เขาก็อาจไม่เชื่อฟังอีกต่อไปแล้ว แค่โหวตสวน 50 คน ก็ไปแล้ว เหลือแค่ 200 คน ก็ตั้งนายกฯ ยากแล้ว
...........................
ซ้ายจัด-แอคทิวิสต์-ไม่รู้จักวินัย ปมเหตุรอยร้าว อนาคตใหม่
พลโทพงศกร รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งโยกจากรองเลขาธิการ สมช.ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 14 ซึ่งมีเพื่อนร่วมรุ่นคนดังเช่น พลเอกอุดมเดช สีตบุตร อดีต ผบ.ทบ., พลโทภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. โดยพลโทพงศกรถูกเรียกขานจากฝ่ายไม่เอา คสช.ว่าเป็นอดีตทหารฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งพบว่าแม้จะเป็นทหาร แต่การไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารเป็นสิ่งที่เขาแสดงออกมานานแล้วตั้งแต่ตอนรัฐประหาร คมช.ปี 2549 พลโทพงศกรเป็นทหารในราชการเพียงคนเดียวที่ร่วมลงชื่อคัดค้าน คมช.พร้อมกับนักวิชาการจำนวนมาก ส่วนการตัดสินใจเล่นการเมืองหลังเกษียณอายุราชการเกิดจากคำชักชวนของ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ที่มาทาบทาม ซึ่งเขาใช้เวลาเพียง 10 วินาทีก็ตัดสินใจตอบรับทันที
พลโทพงศกร บอกว่าช่วงใกล้เลือกตั้งที่จะมีขึ้น นอกจากลงพื้นที่หาสมาชิกพรรค ติดต่อผู้สมัครส.ส.เขตในจังหวัดต่างๆ ก็ยังมีภารกิจต้องเจอตัวแทนสถานทูตต่างๆ ในประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ทูตก็จะถามความเห็นทางการเมือง โดยที่ผ่านมาได้พบเจ้าหน้าที่ทูตประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศ
...โดยในเดือนธันวาคมมีคิวพบเจ้าหน้าที่ทูตสิงคโปร์และสวิตเซอร์แลนด์ และที่พบโดยส่วนตัวเลยก็นิวซีแลนด์ โดยการพูดคุยทางต่างประเทศก็บอกว่าห่วงเรื่องการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม เลยบอกไปว่า ไม่ต้องห่วงหรอกไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไม่เป็นธรรมแล้วต่างชาติจับได้โดยเฉพาะอียู จะไม่สามารถติดต่อกับอียูได้อีกต่อไปแล้วจะซวย เพราะจะมีปัญหาเรื่องการส่งออก ถ้าเขาบอกว่าเลือกตั้งไม่เสรีและไม่เป็นธรรม เขาก็จะไม่ติดต่อกับเราอีกต่อไป ประชาชนก็จะจนสนิท เราถึงต้องบอกประชาชนว่าต้องหยุดการสืบทอดอำนาจให้ได้ แต่ถ้าเขาจัดเลือกตั้งได้ดีแล้วเขาชนะ ก็ไม่มีปัญหา แต่นี้เริ่มไม่ใช่แล้ว เริ่มโกงแล้ว โกงเต็มไปหมด
ทั้งนี้หลัง คสช.ทำรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.57 ต่อมาไม่นานพลเอกประยุทธ์ก็ออกคำสั่ง คสช.ให้พลโทพงศกรพ้นจากตําแหน่งรองเลขาธิการ สมช. โดยย้ายให้ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ
เราเลยถามไปตรงๆ ว่าที่ออกมาวิจารณ์ทหาร เป็นเพราะอกหักจากระบบกองทัพใช่หรือไม่ พลโทพงศกร ยืนกรานว่าไม่ได้อกหัก ผมก็อยู่สบายๆ แล้วก็ไปอยู่สภาความมั่นคงแห่งชาติไม่ได้ซีเรียสอะไร ตำแหน่งผมระดับปลัดกระทรวงแล้ว แต่คุณจะให้ผมไปวิ่งหานายเช้าเย็น ผมบอกผมไม่เอา ต้องไปเปิดประตูบ้านตอนเช้า ลองไปดูที่ลาดพร้าว 71 ไปนั่งดูตรงร้านกาแฟ มีทหารตำรวจทั้งนั้นนั่งกัน แล้วไม่ทำงานกันหรือ แต่สำหรับผมไม่ใช่ ผมทำงาน หากผมทำงานแล้วนายชอบเอาไป แต่หากไม่ชอบผมไม่ยุ่ง
...ดังนั้นคนที่จะเรียกใช้ผมมีใครบ้าง เช่น พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์, พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ คนเหล่านี้เขาเรียกใช้ผม แต่หากเป็นคนแบบนี้แล้วต้องวิ่งไปวิ่งมา ขอโทษผมไม่เอา ผมเลือกนาย นายไม่ได้เลือกผม
สิ่งที่ผมบอกถ้าเปลี่ยนแล้วไม่ใช่แค่กองทัพจะดี แต่ประเทศมันเปลี่ยนเลย มันจะเปลี่ยนทันที กองทัพจะแข็งแกร่งมาก เพราะไม่ต้องเอาเวลาไปวิ่งตามเจ้านาย เพราะคนที่ขึ้นมาแบบที่ว่า เขาไม่มีความรู้เพราะไม่เคยทำงาน คุณก็วิ่งตามแล้วก็เอาข้าวเอาของ ไปเข้าหลังบ้านแล้วออกหน้าบ้าน วุ่นวายหมด สิ่งที่ได้ก็คือ ยศ ตำแหน่ง แต่ไม่ได้มีความรู้เลย เราจะพบว่าผู้บังคับหน่วยรุ่นหลังๆ ในช่วงสามสิบปีนี้ เป็นระบบอุปถัมภ์มากๆ ไม่ค่อยฉลาด คนฉลาดได้ขึ้นยากมาก
แสดงทัศนะแบบนี้เลยถามมุมมองเกี่ยวกับ นาย-ผู้นำทหาร ยุคนี้ว่าเป็นอย่างไร พลโทพงศกร บอกว่า นายยุคนี้ไม่ฉลาด ไม่เก่งเรื่องทหารเลย ไม่รู้เรื่องทหารเลย หลักการทหารไม่สันทัด ก็ทำให้เลยไม่เก่งเรื่องยุทธศาสตร์ไปด้วย ไม่รู้จักวิธีการบาลานซ์ขั้วอำนาจต่างๆ
...เมื่อคุณจะสั่งให้คนทำตามในสิ่งที่คุณเห็นว่าไม่ถูก คุณต้องสั่งคนที่เยสเซอร์ คนแบบนี้อะไรก็ได้ ไม่ตั้งคำถาม ซึ่งก็ไม่เก่งอยู่แล้วคนประเภทนี้ พอเอาคนประเภทนี้มา เมื่อเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเขาก็ต้องไปเอาคนที่ก็ต้องเยสเซอร์กับเขาอีกขั้นหนึ่ง พอเรียงๆ แบบนี้สัก 3-4 รอบ ก็หมดแล้ว ก็เหมือนกับเรียนหนังสือ รับได้จากครูมาแค่ 60 เปอร์เซ็นต์แล้วก็ไปสอนคนอีกรุ่น รุ่นนั้นก็รับมาเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว แบบนี้ก็หายหมด มันต้องเก่งตลอด สำหรับทหารต้องเป็นคนที่เก่ง ไม่อย่างนั้นกองทัพไม่แข็งแกร่ง
อนาคตใหม่ตั้งเป้ากวาด 40 ที่นั่ง
วกกลับมาคุยเรื่องการเตรียมความพร้อมในสนามเลือกตั้ง พลโทพงศกร สรุปทิศทางไว้ว่า รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ทั้งหมดของพรรคคาดว่ากลางๆ เดือนธันวาคมจะได้ชื่อเกือบทั้งหมด หลังจากมีการสัมภาษณ์ผู้สมัครที่จะดูเช่นแนวความคิดของคนที่ต้องการลง ส.ส.ของพรรค เช่นดูว่าเขามีแนวคิดแบบกลางซ้ายหรือไม่ หากมาแล้วเป็นขวาจัดก็คุยกันไม่ได้ พอสัมภาษณ์เสร็จได้ชื่อมาก็ให้สมาชิกพรรคในแต่ละเขตเลือกตั้งทำไพรมารีโหวตผ่านมือถือ ใครชนะก็ได้เป็นตัวแทนพรรค ซึ่งที่ผ่านมาก็มีที่มาสมัครแล้วเราคัดออก
พลโทพงศกร ยืนยันว่าพรรคอนาคตใหม่เน้น ส.ส.เขต ไม่ใช่ว่าจะเน้นแต่ปาร์ตี้ลิสต์อย่างที่ถูกมอง โดย ส.ส.เขตพรรคต้องเอาชนะให้ได้ ถ้าคิดว่าเราไปแล้วก็แพ้ แล้วจะลงไปทำไม หลายคนที่มาอยู่กับพรรคก็เคยเป็นมดงานให้กับคนอื่นพรรคอื่นมานาน เราก็ถามเขาแล้วทำไมไม่เข้าไปเป็นเอง ไม่ต้องไปทำให้คนอื่น ทำให้ตัวเอง สำหรับเป้าหมาย ส.ส.เขตคงไม่สามารถระบุได้ แต่ว่าอย่างน้อย 10 ที่นั่งต้องได้ โดยสิ่งที่เห็นจากการแบ่งเขตของ กกต. ก็ทำให้สองพรรคใหญ่จะได้ ส.ส.ไม่เป็นกอบเป็นกำ กลายเป็น 3 เส้า คือพรรคใหญ่สองพรรคและพรรคพลังประชารัฐ พอเป็น 3 เส้าก็จะตัดเสียงกัน ที่พอตัดเสียงกันเราก็หวังว่าคนที่ไม่มีสังกัดเสียงจะมาอยู่กับเรา เราหวังไว้อย่างนั้น
พื้นที่อีสาน-เหนือยอมรับว่ายาก ในต่างจังหวัดถ้าหวังจะได้ก็ที่กรุงเทพมหานคร กับที่ภาคใต้ อย่างในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อนาคตใหม่ก็ต้องสู้กับพรรคประชาชาติ ที่มีฐานเสียงใหญ่ แต่ก็หวังว่าบางเขตน่าจะได้สักหนึ่งถึงสองเขต ที่นราธิวาสก็มีโอกาสอยู่
“คิดว่ายังไงสัก 40 ที่นั่งน่าจะได้อยู่แล้ว ก็จะได้เข้าไปเสนอแก้ไขกฎหมายอะไรต่างๆ ได้ เช่นยุทธศาสตร์ชาติ ที่คือการยึดอำนาจล่วงหน้า ยึดไปตลอดกาลเลย ทำให้เวลาจะมาคุยกับรัฐบาล เขาจะไม่คุยด้วย เขาจะไปแอบคุยกับกรรมการยุทธศาสตร์ เช่นโครงการนี้เอาไหม แล้วก็จ่ายเงิน จบไหมแบบนี้”
ปัญหาในพรรคเพราะคนไม่มีวินัย
สำหรับพรรคอนาคตใหม่ ที่ผ่านมามีข่าวปรากฏทางสื่อและโซเชียลมีเดียหลายครั้งถึงปัญหาภายในกันเองของคนในพรรค ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค สมาชิกพรรค กองเชียร์พรรค กับเรื่องการบริหารจัดการและทิศทางการเมืองของพรรค จนหลายคนแยกตัวออกไป
อย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคได้ออกคำสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการกรรมการเครือข่ายเยาวชน-คนรุ่นใหม่ยุติการปฏิบัติหน้าที่ทั้งคณะ โดยอ้างว่ามีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์การใช้จ่ายงบประมาณในทางที่ไม่เหมาะสม จนต่อมา น.ส.วิภาพรรณ วงษ์สว่าง หรือนานา ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ได้ประกาศเลิกเกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่
เมื่อสอบถามถึงปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลอย่างไรต่อการดำเนินงานของพรรคหรือไม่ พลโทพงศกร-รองหัวหน้าพรรค ยืนยันหนักแน่นหลายรอบว่าไม่มี กลับมีคนมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพิ่มด้วยซ้ำ การขัดแย้งที่ถามเขาจะบอกอยู่ 2 เรื่อง ข้อแรก เขามองว่าพรรคจัดการได้รวดเร็ว ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม ทำให้จบไปเลย เรื่องที่สองคือ อย่างกรณีของบางคนพรรคไม่ได้ไล่เขา แต่เขาลาออกไปเอง เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ก็ไม่ว่ากัน แต่เป็นเรื่องความคิดเห็น เพราะก็อย่างที่บอกอนาคตใหม่พรรคเราเป็นแบบนี้ เราจะซ้ายจัดไม่ได้ หากซ้ายจัดก็อยู่กับเราไม่ได้
“กลุ่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนตัวสูงมาก ไม่ได้มองภาพใหญ่ มันก็อยู่กับพรรคไม่ได้ ออกไปในทางซ้ายค่อนข้างเยอะ ที่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพรรคการเมืองเมื่อแนวคิดไม่ตรงกันก็ต้องออกไป เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีอยู่กลุ่มเดียว เป็นพวกแอคทิวิสต์ พูดง่ายๆ คือไม่รู้จักวินัย แต่ไม่ได้บอกว่าเผด็จการ เพราะเราไม่ได้เผด็จการ แต่บางอย่างก็เกินไป นั่งคุยกันอยู่ดีๆ พอคุยแล้วก็เอาเรื่องที่คุยกันภายในไปโพนทะนาข้างนอก แปลกไหมล่ะ เขาเรียกว่าไม่มีวินัย" พลโทพงศกรระบุ
-เป็นเพราะหัวหน้าพรรคคุมสภาพไม่อยู่ ยังไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง?
ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวเลย เขาตัดสินใจโครมเลย จบ การเมืองต้องมองก่อน จะมีการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ การเมืองก็มีแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน คุยกัน แต่ของพรรคเราไม่ใช่ พอไม่เหมือนก็เลยรู้สึกว่าไม่ใช่การเมืองนิ เป็นอะไรก็ไม่รู้ เราเป็นเหมือนกับระบบการเมืองใหม่ คุณจะแพ้ชนะไม่สนใจ เราจะเดินอย่างนี้ มันก็เลยไม่เหมือนกับที่เคยคุ้นๆ กัน เราไม่สนใจ เราเล่นแบบนี้เลย เพื่อจะเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนให้ประชาชนอยู่ดีกินดีให้ได้
มันจึงต่างจากแบบเดิมที่จะต้องมีการไปคิดว่าอันนี้ทำไปไม่ดี จะไปโดนคนนั้น ของเราไม่เลย หากเห็นว่าดีก็เดินไปเลย อะไรไม่ดีไม่ทำ อะไรที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ภายในมันจึงไม่มี ถึงต่างจากพรรคการเมืองอื่น ถ้าเป็นแบบการเมืองเก่าต้องเก็บเรื่องไว้ให้เงียบ แล้วก็ให้ผลประโยชน์ บอกอย่าโวยเอาเงินไป แต่ของเราไม่มี เราก็เป็นแบบนี้ สิ่งนี้คือความแตกต่าง
...พรรคอนาคตใหม่เราเป็นพรรคที่เปิดมากเลย หากเป็นพรรคแบบปิดก็คือฟังนายใหญ่คนเดียว สั่งอะไรก็ได้ แต่ของเราเป็นพรรคเปิด ใครก็ได้เข้ามา หากไม่ชอบใจก็ออกไป จะพยายามทำให้เป็นปกติ เป็น Normal เป็นชีวิตปกติของพรรคการเมืองแบบนี้ ซึ่งใครเข้าก็ได้ออกก็ได้ แต่หลักการเป็นแบบนี้ถึงได้บอกว่าเป็นกลางซ้าย ถ้าคุณไม่ใช่คุณก็ออกไป ถ้าใช่ก็ทำงานด้วยกัน คือเราเป็นแบบโซเชียลเดโมแครต ไม่ใช่โซเชียลลิสต์ที่จะเลยไปอีก อย่างอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ แกเลยไปแล้ว เขาจะให้กรรมกรมีอำนาจอะไรอีก ซึ่งมันไม่ไหว เดี๋ยวจะกลายเป็นรัสเซียสมัยก่อน รัสเซียสมัยก่อนเจ๊งเพราะรวมศูนย์วางแผนจากส่วนกลางหมด ซึ่งเราไม่เอา ของเราให้กระจาย จึงเห็นได้ว่ามันต่างกัน แล้วเราเก็บเงินไปให้คนที่ลำบาก
ถามถึงการตัดสินใจแต่ละเรื่องของพรรค เพราะบางกรณีเช่นการปฏิเสธไม่ร่วมกิจกรรมกีฬากับนักการเมืองรุ่นใหม่พรรคอื่นๆ กระแสสังคมก็ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของพรรค พลโทพงศกร กล่าวว่าก็ไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส ถ้าเป็นเรื่องใหญ่เราจะถามประชาชน แต่ถ้าเรื่องเฉพาะหน้าก็คุยกันในกรรมการบริหารพรรค ส่วนมากตอนนี้เป็นกระแสในโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่สิ่งที่พรรคเรากังวลคือเสียงในพื้นที่ คนในพื้นที่เขากลับทางเลย เขาบอกแบบนี้ดีแล้ว อย่างที่ภาคใต้พอปัญหาพวกนี้จบ คนมาสมัครเป็นสมาชิกขึ้นพรวดเลย เขาบอกว่าดี แก้ปัญหาเร็ว ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม
-คนมองว่าอนาคตใหม่กระแสอาจจะดี แต่ถึงเวลาเลือกตั้งคะแนนอาจไม่เข้า?
ก็เป็นไปได้ เราถึงต้องลงไปทำความเข้าใจ เพราะของเราไม่มีเงินให้ ไม่มีเงินซื้อเสียง ตอนนี้ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดเขาลงพื้นที่กันเยอะ ไม่มีเงินเลยนะ เงินนิดเดียว พรรคไม่ค่อยมีเงิน เขาทำก็จ่ายเงินกันเอง.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
ศิริรัตน์ บุรินศร์กุล
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |