ว่าด้วย...ความรวย-ความจน (ภาค 2)


เพิ่มเพื่อน    

                                                (1)

                ว่าด้วยเรื่อง...คนรวย-คนจน ความรวย-ความจน ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่อาทิตย์นี้...สงสัยว่าคงต้องหยิบมาพูดถึงกันอีกนั่นแหละ มันถึงจะเข้ากับกระแส เหตุการณ์ ที่กำลังส่งผลให้ คนจน จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะจนแบบยังพอมีทองใส่ หรือไม่มีทองใส่ แต่ถ้าลองได้มี บัตรคนจน ติดไม้-ติดมือเอาไว้ซักใบ วูบเดียว...ก็พอได้รวยเพิ่มขึ้น รายละ 500 บาทเป็นอย่างน้อย...

                                                       (2)

                คือไอ้เรื่องของความรวย-ความจนนั้น...ต้องถือเป็นเรื่องน่าสังเกต และน่าประหลาดเอามากๆ ที่บรรดาผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเพียรพยายามศึกษาค้นคว้า มุ่งหาหนทางแนวทาง ให้บรรดามวลมนุษยชาติทั้งหลายเกิดความสุขความสบายแบบชั่วนิจนิรันดรกาล หรือบรรดาผู้ได้รับการยกย่อง เรียกขาน ในฐานะ ท่านศาสดา ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แห่งศาสนาพุทธของเรา พระเยซูคริสต์ แห่งศาสนาคริสต์ ไปจนถึงพระนบี มูฮัมหมัด แห่งศาสนาอิสลาม ฯลฯ ไม่เพียงแต่ต่างหนักไปทางจนๆ ด้วยกันทั้งนั้น ยังพยายามแนะนำ สั่งสอน ให้ผู้คน ไม่อยากรวย กันซะยังงั้น!!!

                                                       (3)

                สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น...อย่างที่ว่าเอาไว้แล้ว ว่าถึงจะรวยกว่าพวก เจ้าสัว บ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่ก็ยังทรงพระดิ้นรน หลีกลี้หนีความรวย หนีออกจากปราสาทราชฐาน มาอดมื้อ-กินมื้อ อยู่แถวๆ โคนต้นไม้ มีเศษผ้ากะรุ่งกะริ่งพันกาย ไม่ได้มีจีวรที่ต้องสั่งทอเป็นพิเศษจากฝรั่งเศส มาแต่งองค์ทรงเครื่อง ให้ละเลื่อมพรรณราย วิลิศมาหรา แบบพวกลูกศิษย์พระพุทธเจ้าหรือลูกศิษย์ใครก็ไม่รู้ ในบ้านเราทุกวันนี้ ยิ่งพระเยซูคริสต์ยิ่งแล้วใหญ่...นอกจากไม่ได้มีบ้าน มีช่อง มีสำนักงาน สถานที่ทำการ เหมือนอย่างใครต่อใครเขา ได้แต่ทรงเดินเทศนาไปเรื่อย ขึ้นเขา ลงห้วย ง่วงเมื่อไหร่ เหนื่อยเมื่อไหร่ ก็ปักหลักค้างคืนตามป่า ตามเขา ตามบ้านของชาวบ้าน ชาวช่อง ที่แล้วแต่จะเอื้ออำนวยให้...

                                                    (4)

                ที่ไม่เพียงแต่จะประคับประคองความจนไว้กับตัวโดยตลอด ยังเพียรพยายามสั่งสอน เทศนา ให้ผู้เลื่อมใส ศรัทธา มุ่งที่จะจนๆ เข้าไว้นั่นแหละเป็นหลัก ดังคำเทศนาที่ว่า...“เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน ว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตน ว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สั่งสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ มีใครในพวกท่าน ที่ด้วยความกระวนกระวายอาจต่อชีวิตให้ยาวไปอีกศอกหนึ่งได้ หรือท่านยังไปกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มกันอีกทำไม จงพิจารณาถึงดอกไม้ในทุ่งนาดูว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อครั้งสมบูรณ์ไปด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงงดงามเท่ากับดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง...ฯลฯ”

                                                     (5)

                นี่...เรียกว่า มุ่งมาจน ยิ่งกว่าลูกศิษย์พระโพธิรักษ์แห่งสำนักสันติอโศกซะอีก ส่วนพระนบี มูฮัมหมัด ก็คงไม่ได้ผิดแผก แตกต่าง ไปจากกัน ถึงในอดีตจะเคยค้าๆ-ขายๆ จนร่ำรวยอยู่พอประมาณ แต่หลังจากทรงเป็นศาสดาแห่งศาสนาอิสลามแล้ว ใครที่เอาเสื้อคลุมผ้าไหมไปถวาย แทนที่จะนำมาสวมใส่ ท่านกลับฉีกทิ้งเอาดื้อๆ ด้วยเหตุเพราะไม่ต้องการแสดงความหะรูหะราใดๆ ต่อพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นที่เคารพ ศรัทธา กระทั่งไปยึดมหานครดามัสกัส เมืองแห่งอภิมหาเศรษฐีได้ทั้งเมือง กลับไม่คิดจะเสด็จเข้าไปอาบน้ำ อาบท่า พักผ่อนให้สบายๆ ในโรงอาบน้ำ ในปราสาท ราชวัง อันสุดแสนอลังการ หันมากางเต็นท์นอนตัวหด ตัวคู้ อยู่ในกระโจมกลางทะเลทรายซะยังงั้น...

                                                      (6)

                ส่วนผู้ที่ไม่ถึงกับไปไกลในระดับ ศาสดา แต่ถือเป็นนักคิด นักค้นคว้า ระดับโลกตั้งแต่ครั้งอดีต ก็ไม่น่าจะต่างจากกันซักเท่าไหร่ เช่น นักคิดชาวกรีก อย่างปรมาจารย์ โสเกรติส เป็นต้น รายนี้...เคยย้ำนัก ย้ำหนา จนกลายเป็นวาทะอันโด่งดังที่ว่า ผู้ที่มีความพอใจต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนมีอยู่ คือผู้ที่ร่ำรวยที่สุด เพราะความสันโดษคือทรัพย์ของธรรมชาติ แม้แต่นักคิด นักปราชญ์ ยุคหลังๆ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่มีฐานะเป็นนักเศรษฐศาสตร์อีกซะด้วย เช่น ท่าน Gulzarilal Nanda ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก เนห์รู ที่สรุปว่า การกินอยู่อย่างง่ายๆ จะช่วยป้องกันการทุจริตได้โดยอัตโนมัติ เพราะความต้องมีน้อยเท่าใด ความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาสนองความต้องการ ก็ยิ่งน้อยลงไปเท่านั้น ไปจนกวีชาวอเมริกันและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยุคปัจจุบัน อย่าง Gary Snyder ที่สรุปไว้สั้นๆ แต่กินความกว้างขวางและลึกซึ้งเอามากๆ ว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริง...คือการไม่ต้องการสิ่งใด...ฯลฯ

                                                      (7)

                แต่ก็นั่นแหละ...การที่คนจนทั้งหลาย มีโอกาสได้ รวย เพิ่มขึ้นซักรายละ 500 บาท คงไม่ถึงกับเป็นอะไรที่ขัดอก ขัดใจ ขัดแนวทาง คำชี้แนะ ชี้นำ ของบรรดาศาสดา นักคิด นักปราชญ์ ทั้งหลายกันซักเท่าไหร่นัก เพราะความรวยในลักษณะที่ว่า ก็อาจพอช่วยให้เกิดความสงบขึ้นมาได้บ้าง ในบางช่วง บางระยะ โดยเฉพาะความสงบที่ออกไปทาง สงบแบบเรียบนิ่ง อันเป็นความสงบที่ผู้ซึ่งเรียกตนเองว่า นักเศรษฐศาสตร์ หรือ นักเศรษฐกิจ ทั้งหลาย ต่างมุ่งมาดปรารถนาซะเหลือเกิน เพราะเป็นความสงบที่จะช่วยให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อันมักทำให้ผู้ที่รวยๆ อยู่แล้ว น่าจะรวยขึ้นๆ ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอาจผิดแผกแตกต่างไปจากความสงบที่บรรดาท่านศาสดา หรือนักคิด นักปราชญ์ ได้พยายามชี้แนะ ชี้นำเอาไว้ ที่ออกไปทาง สงบเย็น อันจะนำมาซึ่งความสุข ความสบาย ตลอดชั่วนิจนิรันดรกาล ดังนั้น...คงต้องไปตัดสินใจเอาเอง ว่าอยากจะจนกันต่อไป หรืออยากรวยเพิ่มขึ้นรายละ 500 บาท ด้วยการรูดปรื๊ดๆ แบบชนิดมันซ์ซ์ซ์มือ มันซ์ซ์ซ์ตีน เป็นอย่างยิ่ง...

                           ------------------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"