ดูเหมือน "คุณธาริต เพ็งดิษฐ์" จะเป็นรายแรก
ศาลสูงตัดสินจำคุก ๑ ปี ไม่รอลงอาญา
ตัดสินเสร็จ......
แทนที่ผู้คนจะเวทนา กลับปรากฏว่า ทั้งอาณาประชาราษฎร์ ต่างโจษขานเป็นเสียงเดียวกัน
"วันนี้ มีข่าวดีมาบอก....
ธาริตติดคุก"!?
ดีใจกับคนตกทุกข์ได้ยากออกหน้าเช่นนี้ มันสะท้อนสิ่งที่นายธาริตทำยามมีอำนาจวาสนา ชัดเจนมาก
ถึงคราชะตาตก เมื่อเวรกรรมย้อนสนอง จึงไม่มีใครเวทนา มีแต่สมน้ำหน้า
บ้างบอก...๑ ปี ยังน้อยไป!
กระทั่ง ฝ่ายระบอบทักษิณ ที่ตนเอาอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งทางราชการไป "ขายตัว-ขายจิตวิญญาณ" ให้เขา
โอเลี้ยงซักถุง ข้าวผัดซักห่อ
ระหว่างรอรถกรงประจำตำแหน่งนักโทษมารับ ก็ยังไม่มี!
ย้อนดูเส้นทางเดินคุณธาริต ตัวเองก็ต้องไม่คิด ว่าชีวิตจะมีวันนี้แน่นอน
ก็แค่ ๕๐ ขวบ ใหญ่พรวดพราดระดับอธิบดีดีเอสไอ เป็นมือ-เป็นสมองให้นายกฯ มาแล้วถึง ๓ นายกฯ "ทักษิณ-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์"
ทางข้างหน้า กว่าจะถึง ๖๐ เก้าอี้ "ปลัดกระทรวง" ยังเล็กไปด้วยซ้ำ
ต้องโน่น...ระดับรัฐมนตรีว่าการ หรือรองนายกฯ
ทำหน้าที่ "เนติบริกร" ที่ใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเรียกใช้เหมือน ดร.วิษณุ หรืออาจารย์มีชัย!
แต่ด้วยคำว่า "ข้า-ราชะ-การ" ศักดิ์สิทธิ์นัก เมื่อไม่ซื่อ ไม่ถือสัตย์ ดังคำสัตย์ปฏิญาณ
จึงได้ตำแหน่ง "นักโทษ" แทน สถานที่ทำงาน ก็เปลี่ยนจากกระทรวง ทบวง กรม ไปเป็น
คุก ที่เรียก "เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ"!
ในคุกตอนนี้ ผู้ทรยศคำว่า "ข้าราชการ" อยู่ในนั้น กี่คนล่ะ?
เท่าที่จำได้ "นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม" อดีตปลัดคมนาคม คุก ๑๐ เดือน ฐานปกปิด ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
"นายมนัส สร้อยพลอย" อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ คุก ๔๐ ปี
"นายทิฆัมพร นาทวรทัต" อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ คุก ๓๒ ปี
"นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง" อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ คุก ๒๔ ปี
โทษฐาน ใช้ความเป็นข้าราชการรับใช้นักการเมืองในทางผิด เรื่องข้าวจีทูจี ร่วม ๒ รัฐมนตรีพาณิชย์ "นายบุญทรงและนายภูมิ"
ข้าราชการทั้งหลาย ดูแล้วสังวรกันไว้ด้วย โดยเฉพาะพวกที่เอาแต่ชะเง้อ "รออำนาจเก่ากลับมา" นั่นน่ะ
"หัวหน้าราชการ" ระดับจังหวัด นั่นด้วย
พวกทำตัวเป็นพระเคร่งศีล ไม่โกง ไม่กินของคาว แต่ขยิบตากับหน่วยงาน กับพวก อบต. พวกอิทธิพลถิ่น เป็นมือ-เป็นไม้ ชงถวายรายเดือน-รายปี นั่นน่ะ
อย่านึกว่าไม่มีใครรู้-ใครเห็นนะ ยุคนี้เป็นยุค "มฤตยูทับดวงเมือง"
ไอ้ที่ "ขยิบตา" กิน มันจะแดงโร่ พาเข้าคุก ชนิดไม่คิด-ไม่ฝัน ก็เตือนไว้ เดี๋ยวจะว่าไม่บอก
กรณีธาริต คงจำกันได้ ที่ "กำนันสุเทพ" บอกวันก่อน....
"มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมเคารพได้ติดต่อมา จะขอให้คุณธาริตมาขอขมา เอาธูปเทียนมาขอขมา
ผมก็บอก ผมไม่ต้องการให้คุณธาริตมาขอขมาผม ผมไม่ต้องการพบคุณธาริต
เพราะผมเห็นว่า คุณธาริตได้กระทำการอย่างผิดวิสัยของผู้ที่สมควรจะผดุงความยุติธรรม
คือ มีหน้าที่ดูแลกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ตั้งใจทำความผิดเสียเอง เพื่อสอพลอผู้มีอำนาจ
ผมคิดว่า เรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปอภัยเค้า เป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรอภัย สังคมควรจะต้องไม่ให้มีคนเหล่านี้
แต่บังเอิญว่า...........
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ติดต่อมาเนี่ย ผมเคยไปพึ่งพาท่าน เมื่อตอนที่ผมเป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง...ฯลฯ..."
คงอยากทราบกันกระมังว่า "ผู้ใหญ่ที่ติดต่อมา" ท่านนี้ คือใคร?
บอกซะเลย เพราะเปิดเผยอยู่แล้ว คือ คุณ "คณิต ณ นคร" อดีตอัยการสูงสุด
พลิกข้อมูลเก่าๆ พบที่ "อาจารย์คณิต" ให้สัมภาษณ์ "สำนักข่าวอิศรา" ไว้ เมื่อ ก.ค.๕๕
มีบางตอน ตอบคำถามนี้ได้ ขออนุญาตยกมาให้อ่าน
"ธาริตเขาเคยทำงานกับผม ตลอดเวลาที่เป็นอัยการสูงสุด เขาเป็น staff หน้าห้อง คุณกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมคนปัจจุบัน ก็อยู่กับผมมาก่อน
ผมเลือกคนเก่งมาทำงานนะ ทั้งเก่งและดีด้วย แล้วพอพวกเขามาทำงานด้วย ผมสบาย
อย่างธาริตเนี่ย ตอนสมัยอยู่ด้วยกัน ดูแลคดีต่างๆ เขาทำงานรอบคอบ มีอะไรก็ดูแลอย่างดี
วิธีทำงานผมไม่เหมือนคนอื่น ผมทำงานให้เกียรติลูกน้อง ผมพูดตลอด งานผมที่สำเร็จได้เป็นงานของพวกคุณ เพราะเขาทำงานน่ะ
แล้วพวกนี้ อยู่กับผมนะ ๒ ขั้นทุกปี ซึ่งมันก็ข้ามหัวคนไปพอสมควร......ฯลฯ
เสียงวิจารณ์ธาริต ผมไม่รู้รายละเอียด แต่ผมไม่เชื่อนะ เพราะเท่าที่ประสบมา ไม่เชื่อว่าเขาจะทำอย่างนั้น
เท่าที่เรารู้จักกัน คือการเมือง มันก็มองข้าราชการอย่างนี้แหละ มองว่า จะหวั่นกับนักการเมือง
แน่นอน ตำแหน่งแกสำคัญ แล้วดูสิว่าเขาเคยไปว่าใครรึเปล่า แต่ผมให้ความเป็นธรรมกับเขานะ เราต้องดู ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนรัฐบาล ไปทางโน้นหน่อย"
กับคำถามว่า........
"คนบางส่วนมองว่าอาจารย์เป็นประชาธิปัตย์ เพราะไม่ฟ้องคดี ส.ป.ก.4-01 ที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงการ 'สั่งไม่ฟ้อง' เป็นอย่างไร?"
"ส.ป.ก.4-01 ผมระมัดระวังอย่างมาก ที่จะไม่ยุ่งให้การเมืองเขาเสียหาย เพราะตอนนั้นกำลังจะเลือกตั้ง หลักที่ผมเรียนมา มันไม่มี
อัยการจะสั่งคดีที่มีผลต่อการเลือกตั้งอย่างไร มันไม่มีหลักอะไรที่ผมยึดเลย
ผมอุตส่าห์ให้รุ่นน้องที่จบจากสหรัฐฯ เขียนไปถามอาจารย์เขาว่า ควรจะทำอย่างไร?
เขาตอบว่าไม่มี แต่ควรจะสั่งเมื่อการเลือกตั้งพ้นไปแล้ว
แต่ถ้าสถานการณ์อย่างนี้ เท่ากับเอาเสรีภาพคนไปแขวน เขาไม่รู้ว่าจะออกหมู่ออกจ่า
ผมก็เลยสั่งไป เมื่อทำแล้ว ก็ปรากฏว่า พรรคพลังธรรมของคุณทักษิณได้คุณสุดารัตน์เป็น ส.ส.คนเดียวใน กทม. ปชป.มาเป็นกระตั๊กเลย
ผมถูกกล่าวหาอีก เพราะผมเป็นคนใต้ มันยุ่งไปหมด
อย่าง ส.ป.ก.4-01 ผมก็ถูกกล่าวหาเป็น ปชป. ผมก็บอกว่า เฮ้ย... ผมจะเป็น ปชป.ได้ยังไง
คุณชวน หลีกภัย สมัยเป็นนายกฯ ยังไล่ผมออกจากห้องเลย ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่กลายเป็นดีนะ เวลาใครหาว่าผมเป็นประชาธิปัตย์ ผมจะอ้างว่า นายกฯ ชวนยังไล่ผมเลย มันก็เบาลง
เหตุที่ผมสั่งไม่ฟ้อง เพราะไม่มีหลักฐาน ส.ป.ก.ความจริง เขาให้ที่กับคนจน แต่บางคนเนี่ย ต่อมาเขารวยขึ้น แล้วเป็นความผิดเขาเมื่อไรล่ะ
อย่าง จ.ภูเก็ตเห็นชัด ผมรู้จักเกือบหมด แต่ก่อน ไม่ใช่นายหัวนิ ระยะหลังที่ดินมันแพงขึ้น แล้วข้าราชการเขาก็เข้าใจว่าอย่างงั้น
เพราะไม่อย่างนั้น คุณก็ต้องฟ้องข้าราชการทุกคน มันก็หวั่นไหวไปหมด แล้วผมไม่ใช่ทำงานชุ่ยๆ ผมให้รองอัยการสูงสุด มือทำงานผมช่วยตรวจสอบ"
ครับ...ก็นี่แหละ ส่วนหนึ่งของที่มา "ผู้หลัก-ผู้ใหญ่" ตามที่กำนันสุเทพบอก
แต่นั่นแหละ ความเคารพ "ส่วนตัว" กับการผดุงความยุติธรรมให้ "ส่วนรวม" ทดแทนกันไม่ได้ เหมือนมหาบุรุษ "เติ้งเสี่ยวผิง" พูด
"อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติ"!
คุณธาริต ตามประวัติ เป็นคนชัยนาท หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี ตั้งชื่อให้ว่า "เบญจ"
ชื่อนี้จะช่วยให้รอด โตขึ้นเปลี่ยนชื่อแล้วจะดี ตอนโต เขาจึงเปลี่ยนเป็น "ธาริต"
มีความหมายจะรุ่งในหน้าที่การงาน เพราะ "ธ" เป็น "เดช"
จบนิติศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ที่อาจารย์คณิตบริหารอยู่ สอบได้เนติบัณฑิตไทย
และนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จากจุฬาฯ
สมัครเข้ารับราชการที่สำนักอัยการสูงสุด ปี ๓๓ ดี-เด่น-ดัง จนเข้าตาอาจารย์คณิต เรียกไปเป็นหน้าห้อง "อัยการสูงสุด"
เข้าการเมืองก็ตอนทักษิณชวนอาจารย์คณิตไปร่วมกันตั้งพรรคไทยรักไทย โดยอาจารย์คณิตหนีบคุณธาริตไปด้วย
เลือกตั้งปี ๔๔ ทักษิณเป็นนายกฯ "หมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช" ส่งธาริตไปเป็นทีมงานฝันเปียกเพื่อชาติกับ "พันศักดิ์ วิญญรัตน์"
พอตั้ง "สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)" ธาริตเป็นเลขาธิการคนแรกเลย
สนองงานทักษิณได้ดี จนมายุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ปี ๕๓ ย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ออกจากอธิบดีดีเอสไอ
แล้วธาริต จาก ป.ป.ท.ก็มาเป็น "อธิบดี DSI" ร่วมอภิสิทธิ์-สุเทพ ปราบแดง
เมื่อเลือกตั้ง ๕๔ แดงขึ้นมาเป็นรัฐบาล ธาริตก็เปลี่ยน เป็นร่วมแดง ไปปราบอภิสิทธิ์-สุเทพ!
จนกระทั่ง คสช.เข้าควบคุมอำนาจปกครองประเทศ ปี ๕๗ ธาริตถูกปลด-ถูกไล่ออกจากราชการ
และวันนี้ ๑๔ ธันวา ๖๑.........
ผู้มี ธ เป็นเดช ก็เกรียงไกรในตำแหน่ง "นักโทษ"
อนุสติจากเรื่องนี้ ที่ผมจะบอก........
"หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" ท่านรู้อดีต-รู้อนาคต-รู้ปัจจุบัน รู้ว่าธาริตจะจบอย่างไร จึงตั้งชื่อว่า "เบญจ"
เหมือนเสี่ยงทาย "นรก-สวรรค์" ถ้าธาริต เข้าใจ "เบญจ" ที่หลวงพ่อตั้ง คือนัยที่หลวงพ่อบอก
"เบญจ" คือหลวงพ่อให้อยู่ในศีล ๕ ยึดศีล ๕ ไม่คดโกง ไม่โป้ปด จะขึ้นสวรรค์ ไม่ติดคุกแน่
เมื่อโต ให้เปลี่ยน คือหลวงพ่อให้ "เปลี่ยนนิสัย" อันเป็นสันดานเกิด ให้ยึดเบญจ คือ ศีล ๕ ไว้
แต่ธาริต กลับทิ้งเบญจ คือ ทิ้งศีล ๕ นรกจึงมาแทนสวรรค์
นี่ถ้าธาริต "ตีปริศนาชื่อออก" วันนี้คงไม่ติดคุก และตำแหน่ง "เนติบริกร" นอนมาใสๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |