14 ธ.ค.61 - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีต รมว ศึกษาธิการ และรองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวในเวทีการอภิปรายเรื่อง”การเมือง เศรษฐกิจ หลังเลือกตั้ง 62” ในงาน”THAILAND Smart Money” ของเครือหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ย ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้ง ปี 62 ยังไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ประชาธิปไตย แต่เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์การยึดอำนาจด้วยกำลังไปสู่การยึดอำนาจด้วย รธน.ที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะหรือที่เรียกกันว่าการสืบทอดอำนาจมากกว่า ขอย้ำว่าการเลือกตั้ง ปี62 จะเป็นการเลือกตั้งภายใต้ประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบ เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดที่จะควบคุมการเลือกตั้งยังเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ใช่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และมาตรา 44 ก็ยังอยู่ตลอดการเลือกตั้งสส. การเลือกประธานสภา การเลือกนายก ไปถึงการตั้ง ครม. จะพ้นต่อเมื่อรัฐบาลใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเท่านั้น และสภาวการณ์เช่นนี้ยังจะอยู่ต่อไปอย่างน้อย 8 ปี หรือ 2 รัฐบาลเป็นอย่างน้อย เพราะบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญบังคับไว้ ซึ่งไม่ใช่บังคับเฉพาะเลือกตั้งปี62 ครั้งนี้เท่านั้น แต่ยังบังคับไปถึงการเลือกตั้งครั้งถัดไปหลังจาก4 ปีของสภาชุดปี 62 อีกด้วย
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งถัดไปหากอยู่ครบ 4 ปี ก็เท่ากับว่าสภาวการณ์ครึ่งใบยังสามารถอยู่ต่อไปได้ถึงอย่างน้อย 8 ปีนั่นเอง นอกจากจะมีการแก้ รธน.เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะ รธน.นี้กำหนดเงื่อนไขให้แก้ยากยิ่ง นอกจากใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาแล้ว ยังต้องเห็นฟ้องต้องกันระหว่าง ส.ส. รัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา อีกทั้งยังต้องทำประชามติอีกด้วย การเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไข รธน.นี้ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งดังกล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเลือกตั้งปี 62 จะเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างประเทศหรือขั้นตอนใหม่ของความขัดแย้งที่สั่งสมมาตลอด 4 ปีหรือไม่นั้น คิดว่าเป็นได้ทั้ง2 อย่าง หากเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย การสร้างประเทศก็เริ่มต้นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปที่ คสช.บังคับไว้ ไม่งั้นจะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มีโทษทางอาญา ส่วนจุดเริ่มต้นความขัดแย้งใหม่จะเกิดได้เมื่อมีการบังคับเลือกข้าง ข้างแพ้ไม่ยอมรับ หรือการเลือกตั้งไม่ยุติธรรม มีการโกงเลือกตั้ง ใช้อำนาจรัฐเอื้อบางพรรคการเมืองสู่การสืบทอดอำนาจ ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทุความขัดแย้งถึงขั้นเกิดพฤษภาทมิฬ ภาค2 ได้
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ทุกคำถามที่ถามเป็นจริงทุกข้อเพราะนโยบายที่ผิดทางของรัฐบาล ทั้งนโยบายประชารัฐที่เอื้อทุนใหญ่ไม่กี่รายและนโยบายประชานิยมเรียกพี่ที่มุ่งแต่ลด แลก แจกปลาอย่างเดียว นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวขึ้นจนเครดิต สวิส จัดลำดับไทยเป็นประเทศเหลื่อมล้ำที่สุดในโลก และแม้รัฐบาลจะออกมาโต้ว่าใช้ฐานข้อมูลเก่าปี 49 เป็นฐาน แต่รัฐบาลกลับไม่บอกว่าตัวเลขการถือครองทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งของคนรวยสุด 1% ของประเทศไทยที่ถือครองความมั่งคั่งสูงถึง 66.9%นั้น เครดิต สวิส ใช้ตัวเลขการถือครองทรัพย์สินที่นิตยสาร Forbes ประเมินทุกปีรวมถึงปี 2018 นี้ ด้วย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |