ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี


เพิ่มเพื่อน    

ภายใต้บรรยากาศ สถานการณ์บ้านเมืองช่วงนี้...คงต้องสารภาพตรงๆ ว่าแทบไม่รู้จะเขียนอะไรดี ที่มันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติขึ้นมาได้มั่ง เพราะการลงมือปฏิบัติของแต่ละฝ่ายทุกวันนี้ มันหนักไปทางหันไปคว้า สากกะเบือบิน ออกมาร่อนใส่กันและกัน อย่างเป็นกิจการและเป็นกระบวนการ...

------------------------------------------------

แต่ก็นั่นแหละ...ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นผู้รับผิดชอบบ้านเมือง คงต้องหนักหน่อย คือจะไปอาศัยเหตุผล ข้ออ้าง ว่าในเมื่อใครต่อใครร่อนสากกะเบือบินใส่ตัวเอง เลยต้องออกมือ ออกตีน กันเอาไว้มั่ง อันนี้...มันคงไม่น่าจะ เข้าท่า ซักเท่าไหร่ มีแต่ต้องอดทน อดกลั้น ให้มากๆ เข้าไว้ ยิ่งเคยถนัดในทางวี้ดๆ แว้ดๆ ถึงขั้นคิดจะเอาโพเดียมทุ่มใส่หัวใครต่อใคร คงต้องหันมาคว้าสากกะเบือด้ามต่างๆ นั่นแหละ อม เอาไว้ในปากให้มิดแท่ง มิดด้าม พยายามไม่ประพฤติ ปฏิบัติ อะไรต่อมิอะไรที่อาจก่อให้เกิดการ เรียกแขก ได้มากมายเกินไปกว่านี้...

-------------------------------------------------

หรืออย่างที่อดีตนักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ชื่อดังชาวอเมริกัน นาย E.B. White ท่านเคยได้เอ่ยวาทะเอาไว้เป็นข้อคิด สะกิดใจ ไว้นั่นแหละว่า... There’s no limit to how complicated things can get, on account of one thing always leading to another. หรือ เรื่องราวต่างๆ สามารถซับซ้อนยิ่งขึ้นไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุเพราะสิ่งหนึ่งย่อมนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่งเสมอๆ ดังนั้น...ก่อนจะคิด ก่อนจะทำอะไรกันต่อไป คงต้องรำลึกถึงวาทะที่ว่านี้เอาไว้มั่ง เพราะระหว่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ออกจะซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ พอสมควรแล้ว อย่าถึงกับไปทำอะไรให้มันต้องนำไปสู่ความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ เพราะบางช่วง บางจังหวะ บรรดาความซับซ้อนทั้งหลายมันอาจถูกต่อเติมเสริมแต่ง ให้ไปไกลถึงขั้นซับซ้อนจน มิอาจควบคุมเอาไว้ได้ กันเลยก็ยังมี...

---------------------------------------------------

อย่างช่วงยุค 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นต้น...ว่ากันว่า หลังจากที่มีการปล่อยตัว 13 นักศึกษากบฏโดยไม่มีเงื่อนไข โดยรัฐบาลเผด็จการในช่วงนั้น อะไรต่อมิอะไรมันทำท่าว่าน่าจะเริ่มๆ คลี่ๆ คลายๆ ลงไปได้ด้วยดี แต่ก็ดันไปเกิดความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ด้วยเหตุใดๆ ก็ยังคงเป็น ปริศนาธรรม อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่ว่าเกิดการไล่ปราบ ไล่ตี นิสิตนักศึกษา ชนิดหัวร้าง ข้างแตก ไปตามๆ กัน เกิด กระสุนปริศนา ที่ยิงใส่ฝูงชนที่มาร่วมชุมนุมในท้องถนน จนกลายเป็น เงื่อนไข และ เหตุปัจจัย ที่ไม่อาจควบคุมใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว นอกเสียจากบรรดาคณะผู้บริหารจำต้องเผ่นหนีไปอยู่นอกประเทศเท่านั้นเอง...

--------------------------------------------------

และก็ยังคงมีอีกหลายต่อกรณีใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ มันไปไกลเกินลิมิต หรือไปไกลเกินกว่าที่จะควบคุมเอาไว้ได้ ซึ่งก็ยังคงเป็น ปริศนาธรรม ที่มิอาจหาคำตอบ ข้อเฉลย ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้...จะไปทำเป็นเล่นๆ ทำไปตามอารมณ์ แบบสาดสากกะเบือตอบโต้กันไป-มา ชนิดดอก-ต่อดอก มันจึงไม่น่าจะเข้าท่าซักเท่าไหร่ มีแต่ต้องยิ่งคิดหน้า-คิดหลัง คิดแล้ว-คิดอีก ประเมินสถานการณ์ให้รอบด้านให้ถ้วนถี่ ตัด อารมณ์ ต่างๆ ไม่ว่าอารมณ์รัก อารมณ์เกลียด ตัดเสียงด่าและเสียงเชียร์ ออกไปจากความคิด ความรู้สึก จนสามารถมองเห็นถึง แก่นแท้ของสถานการณ์ ได้แบบแจ่มแจ้ง ชัดเจน...

------------------------------------------------------

เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า...การไล่บด ไล่บี้ การขี่ช้างไล่จับตั๊กแตนแต่ละตัว ที่มันบินไป-บินมาตามพื้นที่นัดพบ ตามโซเชียลมีเดีย ตามความเป็นไปของกระแส ไม่เพียงแต่เป็นอะไรที่น่าเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าแล้ว ยังอาจกลายเป็นแรงปลุก แรงกระตุ้น ให้เกิดการเลยเถิด เกิดอุบัติเหตุ อันนำไปสู่ความซับซ้อนใหม่ๆ ได้เยอะแยะมากมาย มีแต่ต้องหันมา ขจัดเงื่อนไข-ขจัดเหตุปัจจัย อันเป็นที่มาของ ความเสื่อมตามฤดูกาล นั่นแหละ ถึงจะช่วยให้ความซับซ้อนต่างๆ มันพอคลี่คลายลงไปได้บ้าง และการขจัดเงื่อนไข-ขจัดเหตุปัจจัยที่ว่า คงไม่ได้ถึงกับยากซ์ซ์ซ์เย็นแสนเข็ญอะไรมากมาย เพียงแค่เริ่มด้วยการตัด อัตตา หรือความเป็นตัวตนของตนลงไปเท่านั้นเอง โอกาสที่ความสงบ-เรียบ-นิ่ง จะหวนคืนกลับมา อย่างน้อย...ก็น่าจะนิ่งๆ ไปจน เลือกตั้งครั้งใหม่ ก็น่าจะเห็นๆ กันอยู่...

--------------------------------------------------

ด้วยเหตุนี้...ก็เอาเป็นว่า ด้วยความปรารถนาดี ด้วยความห่วงใยโดยบริสุทธิ์ใจนั่นแหละ ที่ทำให้ต้องพูดแล้ว-พูดอีก ต้องเขียนไป-เขียนมาแบบซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่ได้คิดจะออกแรงด่า ออกแรงเชียร์ เหมือนอย่างใครต่อใครเขา เพราะไอ้ที่ด่าๆ เชียร์ๆ เอาไป-เอามาแล้ว ดูๆ มันจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ ส่วนรวม ต่อชาติบ้านเมืองไปด้วยกันทั้งสิ้น มีแต่จะกลายเป็นตัวเพิ่มแรงกิริยากับแรงปฏิกิริยา เพิ่มพลังงานจลน์-พลังงานศักย์ เพิ่มแรงเสียดสี-เสียดทาน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะต่างเป็นพลังที่ถูกขับเคลื่อนด้วย อารมณ์ ไปด้วยกันทั้งคู่ แต่จะเขียนยังไง พูดยังไง ให้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถคลี่คลายลงไปพร้อมๆ กับปรากฏการณ์ ผมพอแล้ว อันนี้...ต้องยอมรับว่าออกจะยากซ์ซ์ซ์ฉิบหาย ดังนั้น...คงต้องเอาเท่าที่ได้ก็แล้วกัน...

----------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Baron de Montesquieu... Constant experience shows that every man who has power is apt to abuse it and to carry his power to the limit.-ด้วยประสบการณ์ที่เป็นมาโดยสม่ำเสมอ ชี้ให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจมักจะใช้อำนาจไปในทางที่ผิด และจะใช้อำนาจนั้นๆ ไปจนถึงขีดสุด...

-----------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"