เมื่อประเทศไทยเข้าสู่วาระของการเลือกตั้ง และ คสช.คลายล็อกให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ระดับหนึ่ง พรรคการเมืองทั้งหลายต่างก็วางยุทธศาสตร์ในการจะเดินเข้าสูอำนาจ (ซึ่งดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าการทำงานการเมืองเพื่อรับใช้ประเทศชาติหรือประชาชน) กระบวนการของการเข้าสู่อำนาจของพวกเขานั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกระบวนการที่ประกอบด้วย เชิญ โชว์ ชวน เชียร์ แข่ง และชวด รายละเอียดของกระบวนการดังกล่าวอาจจะอธิบายรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้
เชิญ คือ การเชิญชวนคนเข้ามาเป็นสมาชิกพรรค เข้ามาสังกัดพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหลาย ได้แก่ อดีต ส.ส.หลายสมัยที่ลงเลือกตั้งเมื่อใดก็จะชนะการเลือกตั้งทุกครั้งไปด้วยคะแนนนิยมของตนเองโดยไม่ต้องอาศัยบารมีของพรรคแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะเขามีภาพเป็นผู้อุปถัมภ์ของชาวบ้าน ทำงานเพื่อคนในพื้นที่มามาก ทั้งด้านส่วนตัวและด้านที่เกี่ยวข้องกับสังคม ทำให้เขาเป็นขวัญใจของชาวบ้าน จะลงเลือกตั้งในนามพรรคใด พวกเขาก็จะชนะ ดังนั้นพรรคต่างๆ จึงต้องวางยุทธศาสตร์ในการเชิญดาวฤกษ์เข้าพรรค รวมทั้งคนหน้าใหม่ทางการเมืองที่พวกเขาเชื่อว่ามีโอกาสจะชนะการเลิกตั้ง พรรคหนึ่งมีความได้เปรียบพรรคอื่นในการเชื้อเชิญ เพราะเป็นพรรคที่มีความเกี่ยวโยงกับรัฐบาลในปัจจุบัน ดาวฤกษ์ทั้งหลายจึงมองเห็นโอกาสที่จะชนะจึงเดินเข้ามา มีทั้งที่เดินเข้ามาเองเพราะต้องการเป็นผู้ชนะ หรืออาจจะเข้ามาเพราะมีคนไปเชิญ เพราะพรรคนี้มีผู้คร่ำหวอดทางการเมืองอาสาสมัครเป็นทูตทำหน้าที่เป็นผู้ส่งเทียบเชิญดาวฤกษ์ทั้งหลายให้เข้าร่วมในพรรค ซึ่งก็ดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ผลพอสมควร เพราะสามารถดึงดาวฤกษ์เข้าพรรคพอสมควร พอเห็นตบเท้าเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคนี้กันหลายสิบคน จนมีเสียงนินทาจากพรรคอื่นๆ หลายประเด็นว่าเอาเปรียบบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง ไม่สง่างาม แม้ว่าทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย คำกล่าวหาก็จะมีเรื่องเงินบ้าง เรื่องตำแหน่งบ้าง เรื่องการช่วยเหลือด้านคดีบ้าง แต่ข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้มีหลักฐานที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์แต่อย่างใด ทั้งหมดจึงเป็นเพียงข้อกล่าวหา
นอกเหนือจากการเชื้อเชิญดาวฤกษ์เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคแล้ว พรรคนี้ยังได้นักธุรกิจเก่งๆ นักวิชาการ และคนหนุ่มสาวเข้ามาร่วมอีกมาก แรงจูงใจในการเข้าร่วมพรรคนี้อาจจะไม่ใช่การชนะการเลือกตั้งเหมือนพวกดาวฤกษ์ทั้งหลาย แต่พวกเขาเข้ามาเพราะอยากให้โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลนี้ริเริ่มเอาไว้ได้รับการสานต่อ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ยุทธศาสตร์ 20 ของประเทศ การดูแลคนจน การปราบโกง และการรักษาความสงบของประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการปกป้องสิ่งต่างๆ ที่เราได้มาในช่วง 5 ปี เช่น รัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้ว และยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการได้อุตส่าห์ใช้เวลาคิดขึ้นมา อีกพรรคหนึ่งก็เชื้อเชิญคนเข้าพรรคด้วยการตอกย้ำการเป็นพรรคเก่าแก่ที่มีอุดมการณ์และยึดมั่นความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ด้วยการเปิดโอกาสให้สมาชิกทั้งประเทศมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้าพรรค แต่น่าเสียดายที่การดำเนินการมีปัญหาที่ทำให้การดำเนินการออกมาไม่ค่อยสวยนัก อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างคนในพรรคออกมาให้สังคมได้รับรู้ด้วย แม้ว่าแกนนำของพรรคจะออกมาว่าความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันนั้นเป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมของความเป็นประชาธิปไตยของพรรค แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก พรรคนี้จึงมีเลือดไหลออกมากกว่าไหลเข้า ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจุดยืนที่มั่นคงของพรรคที่ทำให้ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งมองเห็นว่าขาดความยืดหยุ่นและมองข้ามสถานการณ์ที่เป็นบริบททางการเมืองในปัจจุบัน อาจจะสรุปได้ว่าการเชื้อเชิญคนเข้าพรรคของพรรคนี้จึงไม่น่าประทับใจเท่าใดนัก ทำให้แกนนำของพรรคต้องออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะใจดีสู้เสือกันหลายคน อีกสามพรรคเป็นพรรคที่ดำเนินการเชิญชวนด้วยความสุภาพ สุขุม เป็นมิตรกับทุกฝ่าย การกระทำที่ผ่านมาไม่มีอะไรบุ่มบ่าม ไม่มีการกระทำที่ก้าวร้าวทำลายใคร ทั้งนี้เพราะหัวหน้าพรรคมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นพรรคที่ได้ร่วมรัฐบาล ดังนั้นการดำเนินการเชื้อเชิญคนเข้าพรรคจึงไม่เป็นศัตรูกับใคร เพราะขณะนี้ยังไม่อาจจะทำนายได้อย่างแน่นอนว่าฝ่ายใดจะชนะการเลือกตั้ง แนวทางในการทำงานของพรรคเหล่านี้ในการเชิญคนเข้าพรรคจึงไม่สร้างศัตรู เหล่าบรรดาดาวฤกษ์ที่มั่นใจชัยชนะของตนเอง และมีความตั้งใจที่จะเป็น ส.ส.ในซีกรัฐบาลจึงเดินเข้าพรรคเหล่านี้เองโดยทางพรรคไม่จำเป็นต้องออกแรงฉุดแต่อย่างใด และเชื่อแน่ว่าทั้งสามพรรคนี้น่าจะได้ร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอนเพราะเขาไม่เคยแสดงตนเป็นศัตรูกับฝ่ายใด
ส่วนอีกพรรคหนึ่งนั้นต้องเรียกว่าเป็นพรรคที่เลือดไหลออก เพราะดาวฤกษ์ในพรรคไหลออกไป ทั้งถูกดูดบ้าง เดินออกไปเองบ้าง เพราะหลายคนเชื่อว่าพรรคหมดมนต์เสน่ห์เพราะแกนนำของพรรคถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีต่างๆ และในการตัดสินคดีนั้น ผู้พิพากษาได้ให้รายละเอียดเรื่องความผิดอย่างชัดเจน ทำให้ฐานเสียงบางคนเปลี่ยนใจ ทำให้อดีต ส.ส.ดาวฤกษ์หลายคนมองเห็นความพ่ายแพ้และเดินออกไป พรรคนี้จึงต้องใช้การเป็นสมาชิกของลูกนายใหญ่มาสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกพรรคไม่ให้ย้ายออกไป ดังนั้นพรรคนี้จึงไม่ได้ดำเนินการด้านเชิญคนเข้าพรรคเท่าใดนัก แต่ต้องดำเนินการด้านการดึงสมาชิกเดิมให้อยู่ต่อไป อย่าไหลออกไป เพราะยามนี้ก็เห็นชัดเจนว่าพรรคนี้มีดาวฤกษ์ตีจากไปมากมาย บางจังหวัดย้ายออกไปทั้งจังหวัด จนต้องมีการดำเนินยุทธศาสตร์ในการตั้งพรรคเครือข่ายที่หวังจะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ชัยชนะเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะแกนนำอาวุโสหลายคนที่เข้าไปในพรรคของคนหนุ่มสาว ก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากผู้บริหารของพรรคใหม่ที่ต้องการภาพของการเป็นพรรคหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ สถานการณ์ของพรรคนี้จึงไม่สู้จะดีนัก แต่พวกเขาก็ยังคงแสดงความมั่นใจ ยืนหยัดที่จะต่อสู้ และยังคงพูดถึงชัยชนะอย่างมั่นใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พรรคนี้คงต้องทำงานหนักในขั้นตอนของการ “โชว์” ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะวิเคราะห์กันต่อไปว่าเขาจะ “โชว์” อะไร เพื่อที่จะ “ชวน” ให้คนมาลงคะแนนเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรคของตน เพราะถ้าหากพิจารณาสถานการณ์ให้ดี มนต์เสน่ห์ที่เคยมีไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าเดิม มันน่าจะเสื่อมคลายไปไม่น้อย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |