ว่าด้วย "คนรวย-คนจน"


เพิ่มเพื่อน    

                                       (1)

      เห็นใครต่อใคร...เขาลือๆ กันในเว็บไซต์ ในโซเชียลมีเดีย เรื่องประเทศไทยเป็น ประเทศที่เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก จริง-ไม่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันนะทั่น แม้จะไปหยิบเอาตัวเลข กราฟ สถิติ อะไรต่อมิอะไรมาอ้างอิง แต่อะไรต่อมิอะไรในโลกอินเทอร์เน็ตนั้น คงต้องหมั่นเช็กกันประมาณ 10 ตลบ 20 ตลบ เอาไว้ก่อนนั่นแหละ ถึงพอจะแน่ใจได้ว่าเป็น ข่าวจริง” หรือ “ข่าวปลอม...

                                       (2)

      แต่ไม่ว่าจริง-ไม่จริง...การที่มี คนรวย ระดับหมื่นล้าน แสนล้านนั้น ผู้ที่ น่าห่วง เอามากๆ คงไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดา คนจน ทั้งหลาย ที่น่าจะจนกันชนิดคุ้นเคย หรือคุ้นชิน มานานแล้ว อีกทั้งยังมีจำนวน ปริมาณ เยอะแยะมากมาย ไม่ถึงกับต้องเหงาหงอย สร้อยเศร้า เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย กันซักเท่าไหร่นัก อย่างน้อย...ก็สามารถปรับทุกข์-ผูกมิตร ปลอบโยน ปลอบประโลมใจกันไปตามสภาพ แต่บรรดาพวก คนรวย นั่นแหละ ที่น่าห่วง น่าสงสาร น่าเวทนา อยู่ไม่น้อย เพราะมีจำนวน ปริมาณ น้อยเอามากๆ เพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เวลาเดือดร้อน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ขึ้นมา คงไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร ไปปรับทุกข์-ผูกมิตรกับใครดี โดยลักษณะอาการมันจึงออกจะน่าโหวงๆ เหวงๆ เอามากๆ...

                                         (3)

      คือเรื่องของทุกข์ๆ-สุขๆ...โดยธรรมชาติของตัวมันเองแล้ว คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะแก้ไข เยียวยา ได้ด้วยเงินๆ-ทองๆไปซะทั้งหมด ไม่งั้นบรรดา คนรวย ทั้งหลายท่านคงบรรลุ นิพพาน กันไปหมดแล้ว ด้วยเหตุเพราะเรื่องทุกข์ๆ-สุขๆ นั้น...มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ อัตตา กับตัวตนของผู้คนในแต่ละราย ไม่ว่าจะมีเงิน-มีทอง ไม่มีเงิน-มีทอง แต่ถ้า อัตตา ยังคงหนาเป็นปึกๆ ยังไงๆ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเวียนว่ายอยู่กับสุขๆ-ทุกข์ๆ กับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปโดยตลอดนั่นแหละทั่น ไม่เช่นนั้น...พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านคงไม่คิดลา-ละ-สละความรวย ระดับมีปราสาทรองรับเอาไว้ถึง 3 ฤดู มานั่งๆ นอนๆ อยู่แถวๆ โคนต้นไม้ อดมื้อกินมื้อ จนกระทั่งบรรลุ นิพพาน กันจนได้...

                                            (4)

      หรือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ความรวยนั่นแหละที่ออกจะเป็นอะไรที่สุดแสนจะพะรุงพะรังซะเหลือเกิน ยิ่งรวยกันในระดับเป็นหมื่นๆ ล้าน แสนๆ ล้าน แค่คิดว่าจะเอาเงินไปใช้ทำอะไร แค่นี้ก็ ปวดหัวฉิบหาย พอสมควรแล้ว เพราะแค่การกินๆ อยู่ๆ ในชาตินี้ทั้งชาติถึงจะกินกันในระดับไหน อยู่กันในระดับไหน ยังไงๆ มันคงใช้ไม่หมดอยู่แล้วแน่ๆ แล้วไอ้ที่เหลือๆ จะทำยังไงกับมันต่อไป??? จะขยักเอาไว้ใช้ชาติหน้า ชาติโน้น ชาตินั้น ก็คงมิได้ อย่างมาก...ญาติมิตรบริวาร ท่านอาจเอาแค่เหรียญสิบ เหรียญห้า ยัดใส่ปากในตอนเข้าโลง ติดไม้ ติดมือ ไปได้เท่านั้นเอง...

                                     (5)

      ยิ่งเป็นประเภท คิดมาก ตามแบบฉบับผู้ที่ชอบคิดหาเงิน-หาทองทั้งหลาย ยิ่งน่าจะ ประสาท หนักขึ้นไปใหญ่ เพราะอย่างที่ พระเยซูคริสต์ ท่านได้เตือนๆ เอาไว้แล้วล่วงหน้านั่นแหละว่า “อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและมีแมลงกัดกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกิน ไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย...” คือขณะกำลังพะงาบ คงอดไม่ได้ที่จะต้องวิตก กังวล ว่าจะเอาที่ดินนับเป็นแสนๆ ไร่ไปทำอะไรดี เอาเงินที่ยังเหลืออยู่ในเก๊ะอีกเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้าน ไปให้ใครต่อใครมันถึงจะเหมาะ เพราะยังไงๆ ตัวเองก็คว้าติดไม้ ติดมือ ติดตัวไปไม่ได้โดยเด็ดขาด...

                                     (6)

      อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะปวดฉิบหาย ทุกข์ฉิบหาย พะรุงพะรังฉิบหาย ต่างไปจาก คนจน ที่สามารถไปกันแบบสบายๆ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะไม่มีอะไรเหลือๆ ให้ต้องวิตก กังวล อีกต่อไป ยิ่งจนเพราะ การให้ เพราะขนเอาทรัพย์สมบัติ เงินทอง เท่าที่มีออกไปช่วยเหลือผู้อื่น ประเภทถึงมีแค่ข้าวเหลือติดก้นหม้ออยู่ซักจาน สองจาน แต่ยังอุตส่าห์แบ่งไปให้ลูกๆ หลานๆ เผลอๆ คดไปให้พระท่านได้พอประทังท้อง อันนี้...ยิ่งน่าจะปลอดโปร่ง โล่งใจ ยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะอย่างน้อย...คงพอได้ฝันถึง สมบัติในสวรรค์ กันได้มั่ง เหมือนอย่างที่ พระเยซูคริสต์ ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า “เพราะทรัพย์สมบัติท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย...”

                                   (7)

      ด้วยเหตุนี้...บรรดา คนรวยๆ ทั้งหลายนั่นแหละ ที่น่าห่วงซะยิ่งกว่าคนจนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะการ มีเงิน-มีทอง ย่อมต่างไปจากการมี พระเจ้า หรือการมี ที่พึ่งทางใจ แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน ไม่งั้น พระเยซูคริสต์ ท่านคงไม่สรุปเอาไว้แบบตรงไป-ตรงมาว่า “ไม่มีผู้ใด...ที่จะเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติต่อพระเจ้า และปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้...” บรรดาคนรวยทั้งหลายจึงออกจะเป็นคนที่น่าเวทนา น่าสงสาร ซะเหลือเกิน ชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลาอิจฉา ตาร้อน อะไรกันมากมาย ไม่ว่าจะรวยขนาดไหน รวยแบบไหน คงต้อง ปล่อยให้รวย...ซะให้เข็ด สู้หันมาปรับทุกข์ ผูกมิตร ในหมู่คนจนๆ ทั้งหลาย หันมาช่วยเหลือ เยียวยา ระหว่างกันและกัน อันไม่ต่างอะไรไปจากการ ปฏิบัติต่อพระเจ้า หรือการสรรเสริญพระเจ้า...นั่นแล...

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"