ผมได้รับเชิญจากท่านเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย Uffe Wolffhechel (อุฟเฟอ โวล์ฟเฮชเชล) ไปปรึกษาหารือเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อจัดงานฉลองครบรอบ 160 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับเดนมาร์ก
ได้เห็นและสัมผัสกลิ่นอายสถานทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทยที่สาทรซอย 1 แล้วก็มีความประทับใจในความร่มรื่นสวยงามเหมือนป่ากลางกรุงจริงๆ
ใกล้ๆ สถานทูตเดนมาร์กคือสถานทูตเยอรมนีและออสเตรีย ซึ่งก็มีบริเวณที่เงียบสงบและสวยงามอุดมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีเช่นกัน
ท่านทูตอุฟเฟอได้เชิญผมไปเป็นผู้ดำเนินรายการในงานกลางสวนอันสวยงามที่จะจัดขึ้นวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เพื่อให้มีการเสวนากันสามวงว่าด้วยเรื่องนวัตกรรม, การค้าการลงทุน, วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ ครบทุกมิติของสองประเทศที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาช้านาน
ผมตอบรับคำเชิญด้วยความยินดียิ่ง เพราะเห็นความสำคัญของการสืบสานความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ยิ่งวันยิ่งจะมีความหมายลึกซึ้ง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ท้าทายความสามารถของทุกชาติ ในอันที่จะต้องปรับตัวให้ทันกับสิ่งแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นทุกวัน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับเดนมาร์กนับย้อนไปตั้งแต่เกือบ 400 ปีก่อนในรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อ 160 ปีก่อนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) กับกษัตริย์เฟเดอริกที่ 7 แห่งเดนมาร์ก
โดยผ่านการลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพ การค้าและการเดินเรือเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2401
นับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด โดยเฉพาะความสัมพันธ์พิเศษระหว่างราชวงศ์ไทยและราชวงศ์เดนมาร์ก รวมถึงความร่วมมือที่ใกล้ชิดทั้งด้านการค้าการลงทุน ที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชน
ในบันทึก "สัมพันธไมตรีไทย-เดนมาร์กในรอบสี่ศตวรรษ" ตอนหนึ่งระบุว่า
"ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะการคบค้ากับประเทศเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ในยุโรปดูจะมีความสบายใจมากกว่า เพราะประเทศไทยไม่ต้องการถูกครอบงำโดยประเทศมหาอำนาจที่มุ่งล่าหาประเทศอาณานิคม ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการบรรจุชาวเดนมาร์กเข้าประจำการในกองทัพเรือและในราชการทหารของไทย ซึ่งทหารชาวเดนมาร์กเหล่านี้ต่างมีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก จากความซื่อสัตย์และหมั่นเพียรของพวกเขา ส่งผลให้บริษัทเดนมาร์กในประเทศไทยเช่นบริษัทอี๊สต์ เอเชียติ๊กจึงสามารถดำเนินธุรกิจได้เจริญรุ่งเรือง จากการค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถชักนำวิศวกร นักการป่าไม้ พยาบาล และบุคลากรอีกหลายสาขาอาชีพเข้ามามีบทบาทในราชอาณาจักร"
กรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งเริ่มแรกของบริษัท East Asiatic ของเดนมาร์กตั้งแต่ปี พ.ศ.2427 ก่อนที่จะมีการเปิดสำนักงานใหญ่ในโคเปนเฮเกน กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเดินเรือและค้าขายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ผมยังจำได้ถึงผู้บริหารชาวเดนมาร์กที่มาทำงานให้สายการบิน SAS หรือ Scandinavian Airlines โดยเข้ามาช่วยปูพื้นฐานให้สายการบินแห่งชาติของไทยหรือ Thai Airways จนต่อมากลายเป็น Thai Airways International
ทุกวันนี้บริษัทเดนมาร์กทำธุรกิจในไทยมีกว่า 100 บริษัท จ้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง ที่โดดเด่นก็เห็นจะเป็นเอคโค่และแพนดอร่าซึ่งต่างก็มีการตั้งโรงงานในไทย
ข่าวบอกว่าบริษัทเดนมาร์กยังแสวงหาโอกาสในการลงทุนในอีอีซีสอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทยด้วย
น้อยประเทศที่จะคบหากันมายาวนานถึง 160 ปีอย่างราบรื่นและถ้อยทีถ้อยอาศัย สร้างเสริมความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตลอด และปูทางสำหรับการสร้างกิจกรรมที่จะเกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองประเทศในวันข้างหน้า
ผมจึงดีใจที่มีส่วนเล็กๆ ในการร่วมเฉลิมฉลองงานนี้ในสัปดาห์หน้านี้ด้วย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |