3 ธ.ค.61- นางธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวในการทำ Facebook Live วันนี้ โดยได้วิเคราะห์ต้นทุนบุญเก่าจากทั้งแรงดึงแรงดูดของพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้นจะทำให้ พปชร. จะล้มตำแหน่งพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 2 คือ ประชาธิปัตย์ (ปชป.)ได้หรือไม่?

เนื่องจาก พปชร. ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่สนับสนุนคสช.โดยไม่มีทหารแม้แต่คนเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “พรรคทหาร” ใช้มือทำงานเศรษฐกิจเป็นด้านหลักโดยเฉพาะเครือข่ายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ใช้พลังดูดทุกรูปแบบทั้งเรื่องคดีความในอดีตและที่จะเกิดในอนาคตโดย อำนาจทางการเมืองการปกครองปัจจุบัน ก็จะมีต้นทุนที่ พปชร. ใช้เป็นพื้นฐาน

ในอดีตพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นพรรคใหญ่ลำดับหนึ่ง ปชป. เป็นพรรคลำดับสอง ในทัศนะของอ.ธิดา พรรคพท.และพรรคปชป. คะแนนที่ส.ส.แต่ละคนได้นั้นเป็นคะแนนของพรรคเป็นส่วนใหญ่ เป็นคะแนนของตัวส.ส.เองจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับส.ส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) รวมทั้งพรรคอื่น ๆ ซึ่งเป็นคะแนนเสียงของตัวส.ส.เองเป็นด้านหลัก

สำหรับอ.ธิดามองภาพรวมโดยเอาฐานจากปี 54 ว่าพรรคพท.ก็น่าจะยังเป็นพรรคอันดับ 1 ได้ 200 +/- (180-200-220)

มาดูผลงานการดูดของ พปชร. ซึ่ง “ประชาไท” ได้สำรวจ 65 รายชื่ออดีตส.ส.และผู้สมัครตั้งแต่ปี 54 ที่มาซบ พปชร. พบว่าอดีตส.ส.จาก 2 พรรคใหญ่จำนวน 29 คนนั้นได้คะแนนเสียง 1,357,719 เสียง อ.ธิดาวิเคราะห์ว่าน่าจะได้เพียง 678,860 เสียง ดังนั้นเมื่อดูทั้งหมดแล้วคะแนนเสียงที่คาดว่าจะได้จากแรงดูด 2.3 ล้านเสียงนั้น อ.ธิดาคิดว่าน่าจะได้แค่ล้านกว่าเสียง

อ.ธิดา ได้วิเคราะห์ต่อไปว่า เมื่อดูผลการเลือกตั้งเดิม ปชป. เป็นพรรคลำดับที่ 2 ซึ่งได้ประมาณ 100 เศษ ฐานเสียงของ ปชป. ในภาคใต้ อ.ธิดาเชื่อว่าน่าจะได้ใกล้เคียง 40 จากเดิมได้อยู่ 50 กว่าเสียง เพราะถูกพรรคประชาชาติและพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) แย่งไป กลับมาดูเขตเลือกตั้งในกทม.ซึ่งเหลือ 30 เขต เป็นไปได้ว่า พปชร. ก็จะเบียดทั้ง พท. และ ปชป. อยู่ที่สองพรรคใหญ่จะรักษาเสียงเขตเดิมในกทม.ได้หรือเปล่า? เพราะพปชร. ก็จะต้องเบียดเพื่อให้ได้ส.ส.ในกทม.จำนวนหนึ่ง

จากการวิเคราะห์ของ อ.ธิดา พปชร. ในส่วนที่เป็นต้นทุนเก่าสรุปแล้วน่าจะได้เพียง 20 กว่าคน และสมมุติว่ามีตัวดี ๆ ที่อาจจะทำให้ได้รับชัยชนะเพิ่มมาอีกสัก 10 คน รวมส.ส.แบบแบ่งเขตก็ไม่น่าจะเกิน 40 คน

แต่ที่ พปชร. จะได้ก็คือผู้แพ้ ถ้าลงครบ 350 เขต จึงมีความเป็นไปได้ที่ พปชร. อาจจะได้ถึง 6 ล้านเสียง ถ้าเอา 7 เป็นตัวหารก็จะได้ส.ส.ประมาณ 80 คน ซึ่งจะยังไม่สามารถโค่น ปชป. ไม่ได้ !!!

ซึ่งตรงนี้มีความหมายในเชิงยุทธศาสตร์ เหตุผลก็คือถ้า พปชร. ซึ่งได้ส.ส.ประมาณ 80 และเสนอ “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ โค่น ปชป. ไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ก็จะบอกว่า พปชร. คะแนนน้อยกว่า ปชป. ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะได้ส.ส. 100 เศษ นายอภิสิทธิ์ก็ควรจะเป็นนายกฯ นี่ก็คือโจทย์ใหญ่ ดังนั้น พปชร. ก็จะต้องพยายามทำทุกทางที่จะโค่น ปชป. ให้ได้ คะแนนเป็นรอง พท. ไม่เป็นไร แต่ว่ายุทธศาสตร์ของ พปชร. ต้องโค่น ปชป.!!! จะทำให้การขึ้นมาเป็นนายกฯ ด้วยคะแนนของส.ส. (แม้จะมีส.ว.นอนรออยู่) สามารถทำได้ง่ายขึ้น 

ถ้า พปชร. โค่น ปชป.ได้ ก็จะทำให้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำ ทำให้เสียงนายอภิสิทธิ์อ่อนลงและยอมร่วมรัฐบาลกับ พปชร. ในที่สุด ซึ่งยังอาจต้องไปรวมกับเสียงของ ภท. ด้วย

แต่อย่างไรเสีย อ.ธิดาก็คิดว่าไม่ง่ายเลย เพราะถึง พปชร. ใช้พลังดูดมา แต่คนที่ถูกดูดมานั้นเสียงจะไม่เท่าเดิม พปชร. จะได้แต่คน (อดีตส.ส.) และคะแนนที่ติดกับตัวอดีตส.ส.คนนั้น แต่คะแนนของพรรคเดิมนั้นเอามาไม่ได้ และคะแนนเสียงที่ พปชร. ต้องการจะต้องได้ 10 ล้านเสียง ซึ่งจะทำให้ได้ส.ส. 100 ขึ้นไป ต้นทุนการดูด พปชร. ได้ล้านกว่าเสียง ต้องหาอีกไม่ต่ำกว่า 8 ล้านเสียง ก็ไม่รู้ว่าบัตรคนจนจำนวน 14 ล้านใบหรือโครงการไทยนิยมยั่งยืน พปชร. จะได้เสียงทั้งหมดหรือเปล่า?

ต้นทุนที่ พปชร. ใช้ดูดมานั้นอาจจะสร้างความรู้สึก “ฮึกเหิม” แต่อ.ธิดาคิดว่า “ไม่พอ” กับความเป็นพรรคเก่าที่เป็นสถาบันไปแล้วทั้ง พท. และ ปชป. และถ้า พปชร. เป็นพรรคอันดับสาม ถ้าได้ส.ส.ทั้งหมดไม่ถึง 100 คน อ.ธิดากล่าวว่า “หืดขึ้นคอค่ะ” คำถามคือท่านนายกฯ ประยุทธ์ จะไหวหรือเปล่า?

พรรคการเมืองก็กลายเป็นสถาบัน ประชาชนทั่วไปก็กลายเป็นประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมืองและเลือกพรรคเป็นด้านหลัก การโค่นพรรคใหญ่ 2 พรรค โดยเฉพาะพรรค พท. ไม่ง่าย เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม คุณมาช้าเกินไป ประชาชนเดินหน้าไปไกลแล้ว เขาไม่ได้เลือกบุคคล เขาเลือกแนวทางนโยบายและเลือกพรรค ถ้าคุณอยากจะสร้างพรรคที่เป็นทางเลือก คุณต้องใช้เวลามากกว่านี้และทำให้พรรคเป็นที่เชื่อมั่น

เวลา 4 ปี ยังไม่พอ เพราะส่วนใหญ่ไปก็อบปี้ของพรรคเจ้าเก่าเขามา.