สุขๆ-ทุกข์ๆของธรรมชาติทางการเมือง


เพิ่มเพื่อน    

                                                 (1)

        เข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคม...เดือนสุดท้ายของปลายปีพุทธศักราช 2561 และคริสต์ศักราช 2018 กันอีกรอบ ซึ่งต้องถือเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง มีทั้ง คริสต์มาส ทั้ง ปีใหม่ แม้ว่าโดยอุณหภูมิอากาศ จะออกไปทางหนาวมั่ง ไม่หนาวมั่ง หรือสะบัดร้อน สะบัดหนาว ไปตามสภาพ...แต่โดยสีสัน บรรยากาศทั่วๆ ไป น่าจะพอได้สดใส ซาบซ่า อยู่พอประมาณ...

                                                       (2)

        แต่ก็นั่นแหละ...เผอิญว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็คงต้องมี การเลือกตั้งครั้งใหม่ กันอีกซะแร้นน์น์น์ อะไรที่ออกไปทางพะอืดพะอม อีหลักอีเหลื่อ หรือเผลอๆ ระดับอ้วกแตก รากแตก มันก็อาจผุดๆ โผล่ๆ สอดแทรกเข้ามาแซมอยู่มั่ง แบบเดียวกับอุณหภูมิอากาศนั่นแหละทั่น ที่จะหนาวก็ไม่หนาวแบบตลอดรอดฝั่งกะเค้าซะที ดึกๆ ดื่นๆ ขณะห่มผ้าหนาๆ ซุกไซ้ไออุ่นอย่างสุขกาย สบายใจ กันพอสมควร แต่พอสายๆ แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง อาจถึงขั้นต้องแก้ผ้า อยากโจนลงตุ่ม ให้พอได้คลายร้อน ให้หายเหงื่อกาฬไหลพลั่กๆๆ ลงไปได้มั่ง...

                                                        (3)

        ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว...ก็คงไม่ต่างไปจากชีวิตความเป็นไปของบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ในแต่ละรายนั่นแหละ มันคงไม่มีอะไรที่จะสุขกายสบายใจกันไปโดยตลอด เมื่อมี สุข แล้วย่อมต้องมีสิ่งที่เป็นด้านตรงกันข้ามของมัน นั่นก็คือ ทุกข์ สอดแทรกตามมาเป็นช่วงๆ เป็นระยะ ด้วยเหตุเพราะโดยกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ หรือจะเรียกว่า กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ ก็ย่อมได้ ทุกสรรพสิ่งที่เกิดๆ-ดับๆ หรือที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป มันมักจะมีคุณลักษณะแบบสิ่งที่ต้อง จับคู่ กันไปโดยตลอด มีดี-มีเลว มีขาว-มีดำ มีมืด-มีสว่าง มีกลางคืน-กลางวัน มีเกิด-มีตาย มีชอบ-มีชัง มีหญิง-มีชาย ฯลฯ ชนิดไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือไปจากการ จับคู่ เอาเลยก็ว่าได้...

                                                      (4)

        ดังนั้น...เมื่อมีอะไร สุขๆ ขึ้นมา ก็อย่าถึงกับไปตื่นเต้น ยินดี กรี๊ดๆ กร๊าดๆ กระดี๊กระด๊า อะไรกันมากมาย เพราะแวบเดียวเท่านั้น มันอาจกลายสภาพเป็น สุก เอาง่ายๆ ทั้งไหม้ ทั้งเกรียม ต้องหวนกลับไปสู่ความเป็น ทุกข์ ในอัตราเดียวกันกับที่เคยสุขๆ นั่นแหละ สู้หันมาใช้สติ-ปัญญา-ตลอดไปจนถึงสมาธิ ในการพิจารณา ใคร่ครวญ ถึงสิ่งใดๆ ก็ตามที่เป็นตัวนำมาซึ่งสุขๆ ทุกข์ๆ ในตลอดทุกช่วงระยะ ทุกเวลา นาที หรือยิ่งถ้าเป็นวินาทียิ่งดีไปใหญ่ จนทำให้ความหมายของสิ่งที่เรียกว่า ความสุข ออกไปในแนวเดียวกับที่อภิมหาพระ อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้นั่นแหละว่า...คือ ทุกข์ที่พอรับได้ มันถึงจะพอช่วยให้ไม่ว่า สุข หรือ ทุกข์ ไม่ถึงกับเป็นอะไรที่ อันตราย ที่คอยกัดกร่อน แทะกิน อารมณ์ ความรู้สึก ของใครต่อใครทั้งหลาย ให้ขึ้นๆ-ลงๆ ไปตามการ ปรุงแต่ง ของสิ่งที่เรียกว่าสุขและทุกข์ กันในแต่ละช่วง แต่ละระยะ...

                                                        (5)

        ส่วนถ้าหากไปไกล ไปโลด ยิ่งกว่านั้น...ถ้าว่ากันตามแนวทาง แนวคิด ของบรรดาพวกพระๆ ทั้งหลาย ท่านว่ากันไปถึงขั้นชนิดที่ไม่ต้อง สุข ต้อง ทุกข์ อีกต่อไป ไม่ต้องเสียเวลา จับคู่ อะไรต่อมิอะไรอีกแล้ว ไม่มีขาว-มีดำ มีดี-มีเลว มีชอบ-มีชัง ไปจนถึงขั้นไม่มี ตัวตนของตน หรือไม่มีสิ่งที่เรียกว่า อัตตา อีกต่อไป อันนั้นนั่นแหละ...ที่จะก่อให้เกิดการอยู่เหนือขึ้นไปจากกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ หรือกฎเหล็กแห่งธรรมชาติ เหนือขึ้นไปจากการ ปรุงแต่ง ทั้งหลาย ไปสู่ธรรมชาติ หรือธรรมธาตุ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยืนยัน นั่งยัน เอาไว้ว่ามีอยู่จริง ด้วยถ้อยคำภาษาบาลีที่ว่าไว้ว่า...อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง อนุปปาทา วา ตถาคตานัง ฐิตา วะสา ธา ตุ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมะนิยามตา หรือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าพระตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมชาติ หรือธรรมธาตุที่ว่านั้น (ที่อยู่เหนือไปจากการปรุงแต่ง) ก็ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว...

                                                       (6)

        พูดง่ายๆ...ก็คือไปถึงขั้น นิพพาน โน่นเลย ไม่ต้องเกิด-ไม่ต้องดับ-ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกต่อไปแล้ว เป็นอมตะชั่วนิจนิรันดรกาล ยิ่งกว่าบรรดาบทเพลงลูกทุ่งอมตะทั้งหลาย เป็นสุขที่ไม่เหลือทุกข์ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ซึ่งสำหรับปุถุชนคนธรรมดา อย่างเราๆ-ทั่นๆ  คงไม่ถึงกับต้องออกเรี่ยว ออกแรง ทุ่มทุน ทุ่มเท อะไรมากมายในช่วงชีวิตนี้ รอให้เกิดเป็น สุธี อีกซักสาม-สี่ชาติ หรือสิบชาติ ร้อยชาติ ก็คงไม่ถึงกับสาย สำหรับเฉพาะชาตินี้...เอาแค่ สุข แบบ ทุกข์ที่พอรับได้ ก็ต้องถือว่า...ยอดแล้ว!!! หรือสุขที่มันไม่ก่อให้เกิด อันตราย แว้งกลับมากัด แว้งกลับมาแทะกิน อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ กันภายหลัง...

                                                     (7)

        ก็เช่นเดียวกับ การเมือง หรือ การเลือกตั้ง ทั้งหลายนั่นแหละทั่น...ระหว่างนี้ ใครต่อใครก็ออกมาตีปีกพึ่บๆ พั่บๆ กรี๊ดๆ กร๊าดๆ กันเป็นจำนวนไม่น้อย พอๆ กับใครๆ ที่ออกอาการห่อเหี่ยว หดหู่ เหี่ยวๆ แห้งๆ สุขๆ-ทุกข์ๆ กันไปตามประสา หรือตาม ธรรมชาติทางการเมือง ที่ย่อมต้องมีแพ้-มีชนะ วนไป-วนมา ชนิดแทบไม่มีวันสิ้นสุด แต่ไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะ ใครสุข-ใครสุขก็แล้วแต่ ก็อย่าเพิ่งลืมนึกถึง อันตราย อันอาจหมุนวนกลับมาสู่สังคม สู่ชาติบ้านเมือง จนอาจต้อง สุก ไปทั้งประเทศเอาง่ายๆ ตราบใดที่ชัยชนะและความพ่ายแพ้นั้นๆ ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ ตามครรลอง-คลองธรรม โอกาสที่จะหลุดพ้นไปจากวงจรทางการเมือง แบบที่เรียกๆ ว่า วงจรอุบาทว์ มันถึงเป็นไปไม่ได้ซักกะที ไม่ว่าใครต่อใครจะเกิดมาแล้วกี่ชาติ ต่อกี่ชาติ แล้วก็เถอะ...

                               ---------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"