ประชาธิปไตยคือการทำตามความต้องการของคนหมู่มาก ใครได้คะแนนเสียงมากกว่าเป็นผู้ชนะ ได้จัดตั้งรัฐบาล ได้ประกาศใช้นโยบาย ได้บริหารประเทศ ด้วยเหตุนี้นักการเมืองทั้งหลายจึงวางยุทธศาสตร์ในการลงแข่งขันให้ได้รับเลือกตามหลักการของการเมืองเชิงปริมาณ หากใครดูถูกว่าคะแนนเสียงเชิงปริมาณเป็นคะแนนเสียงที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีอุดมการณ์ ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่เคารพเสียงของผู้อื่น ที่ทุกคนมีคะแนนเสียง 1 คนต่อ 1 เสียงเหมือนกัน จะรวยล้นฟ้าหรือยากจนเพียงใดก็มี 1 เสียงเท่ากัน จะจบ ป.4 หรือจบปริญญาเอกก็ 1 เสียงเท่ากัน จะอยู่ในกรุงเทพฯ หรืออยู่ในชนบทต่างจังหวัดก็ 1 เสียงเท่ากัน เมื่อหลักการเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้คนที่วางยุทธศาสตร์ในการเอาชนะการเลือกตั้งมองข้ามเรื่องปริมาณทางการเมืองไปได้อย่างไร แต่ก็ยังไม่วายมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์การย้ายพรรค หรือการดูดคนเข้าพรรคว่าเป็นการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ ไร้หลักการ ซึ่งคนที่เขาดูดเขายังไม่ได้พูดอะไรตอบโต้คนที่กล่าวหาดังกล่าว แต่ในใจเขาอาจจะคิดว่าก็ในเมื่อการเมืองตามหลักประชาธิปไตยมันเป็นการเมืองเชิงปริมาณ แล้วไม่รวบรวมคนที่มีโอกาสชนะเลือกตั้งมาอยู่ด้วย แล้วจะเอาชนะการเมืองเชิงปริมาณนี้ได้อย่างไร คนที่ยึดมั่นในหลักการและอุดมการณ์อาจจะดูดีในสายตามของคนที่ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์ในการทำงานการเมือง แต่น่าจะเป็นผู้ที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เวลานี้กติกาของการเลือกตั้งแปรเปลี่ยนไป การลงคะแนนเสียงไม่เหมือนเดิม การนับคะแนนเพื่อให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อก็ไม่เหมือนเดิม จึงมีความพยายามในการจะเป็นผู้ชนะในเชิงปริมาณด้วยยุทธศาสตร์ที่ต่างกัน บางพรรคก็ใช้ยุทธศาสตร์แตกสาขา อย่างที่พูดกันว่าแตกธนบัตรใบละพันให้เป็นใบละร้อย เพื่อที่จะให้ได้ ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อให้ได้จำนวนมากที่สุด ให้ได้เป็นผู้ชนะ สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ จนอาจจะเกิดกรณีว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีการฮั้วกันทางการเมือง แต่เมื่อมีคนพูดเรื่องนี้ ดูเหมือนจะมีคำตอบแล้วว่าการฮั้วกันทางการเมืองไม่ผิดกฎหมาย ทำได้ แต่ต้องไม่ถูกครอบงำโดยคนนอกพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย เรื่องนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะเอาผิดพรรคการเมืองใดได้บ้าง ในกรณีที่ถูกครอบงำโดยคนอื่นที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรค แต่หากจะให้ทายไว้ล่วงหน้า ขอทายว่าไม่สามารถเอาผิดพรรคใดได้ ต่อให้มีการทำจริง แต่จะเอาหลักฐานการพูดคุยอะไรมาตั้งข้อกล่าวหาว่ามีการครอบงำโดยบุคคลที่อยู่นอกพรรค ดังนั้นยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ก็จะทำให้พรรคหลายๆ พรรคที่แยกกันเดิน รวมกันตี ได้ ส.ส.เป็นจำนวนมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และจะเป็นเกราะกำบังให้พวกเขาต่อไปในอนาคต ไม่ว่าเขาจะบริหารประเทศชาติอย่างไร ใครก็คงจะทักท้วงเขาได้ยาก เพราะเขาก็จะอ้างว่าเขามาจากเสียงข้างมากของการเลือกตั้ง ตามหลักการของการเมืองเชิงปริมาณ ที่อุดมการณ์ไม่เกี่ยว หากพวกเขาทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะไม่ควร ใครจะทำอะไรเขาได้ เขามีเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งเป็นเกราะกำบังในการเดินสู่สนามรบทางการเมือง
อีกพรรคหนึ่งไม่ได้แตกธนบัตรใบละพันให้เป็นใบละร้อย เพราะเป็นพรรคใหม่ ไม่มีสมาชิกพรรคมาก่อน แต่ก็สามารถดูดเอา ส.ส.ดาวฤกษ์ (หมายถึงคนที่สมัครลงรับเลือกตั้ง และสามารถชนะการเลือกตั้งได้ด้วยบารมีสั่งสมของตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยแสงจากพรรคมาช่วย) ที่เป็นผู้มีชื่อเสียงและบารมีในจังหวัดต่างๆ ของประเทศมารวมตัวกันมากมาย อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นการดูดก็อาจจะไม่ถูกนัก เพราะหลายคนที่เข้ามานั้นสมัครใจเดินเข้ามาเอง จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตอนนี้ฝ่ายตรงกันข้ามก็พยายามหาเหตุผลในเชิงลบของกลุ่มคนที่มาอยู่รวมกับพรรคใหม่นี้ว่า ได้รับผลประโยชน์ด้านเงินทองบ้าง ได้รับคำสัญญาที่จะได้ตำแหน่งบ้าง ได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีบ้าง หรือได้รับการช่วยเหลือให้ชนะการเลือกตั้งด้วยการตุกติกในการแบ่งเขตเรื่องตั้งบ้าง คำกล่าวหาเหล่านี้ไม่ได้มีหลักฐานเป็นข้อพิสูจน์แต่อย่างใด แต่ก็เป็นข่าวให้ได้ยินได้ฟังกันอยู่ อย่างไรก็ตามจะเป็นการดูดอย่างมีแรงจูงใจ หรือจะเป็นการเดินเข้ามาเอง เพราะคิดว่าพรรคใหม่มีอุดมการณ์ มีหลักการที่ดี หรือจะเดินเข้ามาเพราะหวังจะเป็นผู้ชนะก็ดี คนเหล่านี้น่าจะมีแรงจูงใจที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ การต้องการเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง และได้เป็นฝ่ายรัฐบาล นั่นหมายความว่าพวกเขาใช้ความคร่ำหวอดในการทำการเมืองมานานช้า คาดการณ์ว่าพรรคใหม่น่าจะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาลมากกว่าพรรคเก่าที่กล่าวกันว่าเป็นพรรคที่เลือดไหลออกมากกว่าใคร
การรวบรวม ส.ส.ดาวฤกษ์และนักการเมืองหน้าใหม่ (ที่ดูเหมือนจะเป็นคนมีคุณภาพ) ไว้จำนวนมากนั้น ก็มีเสียงวิจารณ์แยกเป็นสองทางอย่างชัดเจน ที่มองเป็นเชิงลบก็จะบอกว่าเป็นการเล่นการเมืองเชิงปริมาณ ไม่มีหลักการ ไม่มีอุดมการณ์ เป็นการเมืองแบบเก่าที่ไม่เห็นว่าจะเป็นการปฏิรูปทางการเมืองแต่อย่างนั้น นอกจากนั้นแล้ว บางคนก็ไปไกลว่าเป็นเรื่องฝนตกขี้หมูไหล คน...มาเจอกัน บางคนก็มองว่าเป็นศูนย์รวมของคนที่มีภาพลักษณ์เป็นสีเทาบ้าง สีดำบ้าง ส่วนบางคนที่มองในแง่ดีก็จะมองว่าก็ในเมื่อประชาธิปไตยเป็นการเมืองเชิงปริมาณ ก็ต้องรวบรวมจำนวน ส.ส.ให้ได้มากที่สุดเพื่อให้มีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล บางคนก็มองว่าจะจับโจรก็ต้องใช้โจร (คำกล่าวนี้อาจจะแรงไปหน่อยนะที่มองคนที่มาอยู่พรรคใหม่เป็นโจร เขาอาจจะเป็นแค่ฝีพายที่ทำหน้าที่พายเรือให้โจรนั่งก็ได้) บางคนมองดีไปกว่านั้นอีกว่า พรรคใหม่นี้สามารถสลายสีเสื้อได้ เพราะเป็นพรรคที่นำเอาคนในทุกสีเสื้อมารวมตัวกันได้ น่าจะเป็นโอกาสของการพัฒนาไปสู่การปรองดองได้ ไม่ว่าจะมองร้ายหรือมองดีในกรณีของปรากฏการณ์ในครั้งนี้ เราก็ไม่อาจจะหนีความจริงที่ว่า หลักการของประชาธิปไตยนั้นเป็นการเมืองเชิงปริมาณ ในเมื่อเสียงกลองมันตีเป็นจังหวะนี้ แล้วจะให้เต้นเป็นจังหวะอื่นไปได้อย่างไร ก็ต้องเต้นตามจังหวะของเสียงกลองที่กำลังตีอยู่ในเวลานี้ หรือใครติดว่าเราจะให้ประชาธิปไตยเป็นการเมืองคุณภาพได้อย่างไร ก็น่าจะแนะนำนะคะ ว่าจะทำงานการเมืองในบริบทประชาธิปไตยปัจจุบันให้เป็นการเมืองเชิงคุณภาพและเป็นผู้ชนะได้อย่างไร ใครมีข้อเสนอแล้วแนะนำให้นักการเมืองทั้งหลายทำตามได้ก็จะเป็นบุญของประเทศไทย ที่ตกอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยเชิงปริมาณมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |