ลับลวงพรางล้างขั้วการเมือง


เพิ่มเพื่อน    

    ใครบอก ๒๔ กุมภาพันธ์ปีหน้าไม่มีเลือกตั้ง ต้องเอาไปตัดหัวสถานเดียว 
    จะไม่เลือกได้ไง
    ใส่กันเต็มตีนแบบนี้ 
    ถ้านั่งนับว่า รัฐบาล คสช.ถูกด่าวันละกี่หน มีกี่คนที่ผายลมใส่
    นับไม่ถูก
    หูอื้อ 
    ตาลาย 
    สรุปแล้วน่าจะเป็นจอมเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ถูกด่ามากที่สุดในโลก 
    แถมไอ้คนด่า ตะโกนด่าไป ฟ้องต่างชาติไปว่ารัฐบาล คสช.ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปิดปากประชาชนครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย 
    ยิ่งใกล้เลือกตั้งเท่าไหร่ก็ยิ่งเหม็นขี้ฟัน 
    เพราะพวกที่หายใจเข้าออกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่อดีตสุดเน่าเหม็น เคยนั่งยกมือในสภาปล่อยให้ นายใหญ่-นายหญิง โกงชาติ 
    เกิดอุปาทานหมู่เป็นผู้รักประชาธิปไตยกันไปหมด 
    หลายวันมานี้ ท่ามกลางเสียงด่า พลังสูบ พลังดูด ของพรรคพลังประชารัฐ แต่ปรากฏว่า คำที่ได้ยินบ่อยที่สุด และไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยิน นั่นคือคำว่า....
    "อุดมการณ์" 
    ทำไมพรรคเพื่อไทย ถึงระบายความโกรธแค้นต่อการย้ายพรรคของ อดีตเพื่อน ในพรรคเพื่อไทยว่า
    ทรยศต่ออุดมการณ์ 
    แล้วอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทยคืออะไร 
    เฉพาะวานนี้ (๒๗ พฤศจิกายน) มีคนพูดถึงอุดมการณ์หลายคน เท่าที่อ่านเจอก็มีดังนี้
    สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  
    "...ระยะทางที่ยาวไกล และอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่า ได้เป็นเสมือนด่านคัดกรอง ความแข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ ของคนเพื่อไทย ที่ร่วมทำงานกันมาถึงวันนี้"
    ภูมิธรรม เวชยชัย
    "อย่างที่ผมเคยกล่าว รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อพวกเรา แต่เขียนมาเพื่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ยึดถืออำนาจอยู่ในปัจจุบัน เขาหวังให้เราต้องเจอกับสภาพนี้ 
    และมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ผมยังคงยืนยัน สภาพแค่นี้ไม่มีวันทำลายอุดมการณ์และความเชื่อมั่นของพวกเรา ที่จะมุ่งเดินไปข้างหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และสร้างการเมืองที่มีคุณภาพและเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย 
    เราจะมุ่งเดินไปข้างหน้าต่อไป เรายังมีจุดยืนที่มั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่หวั่นไหว"
    วัฒนา เมืองสุข 
    "สำหรับอดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยที่ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นประกอบด้วย พลังประชารัฐ ๑๖ คน  ชาติไทยพัฒนา ๓ คน ภูมิใจไทย ๓ คน และเพื่อชาติ ๑ คน รวม ๒๓ คน ส่วนอีกจำนวนหนึ่งไปสังกัดพรรคไทยรักษาชาติซึ่งมีแนวทางและอุดมการณ์เดียวกันกับพรรคเพื่อไทย ทั้งหมดเป็นผลพวงมาจากการหลอกลวงประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปการเมือง 
    แต่ในที่สุดหัวหน้านกหวีดและทหารได้ฉวยโอกาสยึดอำนาจ จากนั้นปฏิรูปการเมืองด้วยการดูดอดีต ส.ส.มาเข้าคอกเพื่อหนุนการสืบทอดอำนาจต่อไป"
    ก่อแก้ว พิกุลทอง 
    "นักการเมืองหลายคนที่ทรยศต่ออุดมการณ์หันไปรับใช้เผด็จการนั้น เชื่อว่า ประชาชนรู้ทัน ว่าอะไรเป็นอะไรและในการเลือกตั้งครั้งหน้า 
    อยากให้ประชาชนช่วยสั่งสอนและให้บทเรียน กับคนเหล่านี้ ทั้งคนที่คิดจะสืบทอดอำนาจต่อและนักการเมืองที่ทรยศอุดมการณ์ ทรยศประชาชน ในการเลือกตั้ง"
    ธิดา ถาวรเศรษฐ
    "แล้ว พปชร.จะไปอยู่ตรงไหน? แปลว่าคุณก็ต้องชิงที่เหลืออยู่ ๑๐๐ กว่าที่ ในความเป็นจริงที่คิดว่าไปดึงพรรคใหญ่นั้นอาจจะเป็นความคิดที่ผิดเพราะคุณดึงไม่ได้ เพียงแต่ว่าคุณอาจจะได้เสียงมาจำนวนหนึ่งมาเป็นเสียงของปาร์ตี้ลิสต์ 
    เพราะประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ผู้เลือกเขาไม่ได้เลือกตัวสมาชิกทั้งหมด เขาเลือกพรรคและอุดมการณ์ เพราะฉะนั้นการวางยุทธศาสตร์ในการทำลายพรรคใหญ่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผล ต่อให้คุณเอาท่อดูด ดูดไปจนถึงเที่ยงคืนวันนี้อาจจะได้เยอะอีก"
    คนพวกนี้พูดเรื่องอุดมการณ์ ขณะที่ความเข้าใจของสังคมมีความรู้สึกเทาๆ กับอุดมการณ์ของพรรคการเมือง เพราะไม่รู้ว่า มันคืออะไรกันแน่ 
    แต่ถ้าจะอธิบายเชิงวิชาการ ก็มีงานเขียนเรื่องอุดมการณ์ที่สนใจ นั่นคือ "อุดมการณ์ทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย" โดย รศ.ดร.กิตติทัศน์ ผกาทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์  มจร.
    ดังนี้...
    ......"ผลประโยชน์เชิงประชานิยม" (Populism Interests) ดังกรณีที่รัฐบาลในสมัยพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ เพียงแต่ผลประโยชน์ในเชิงประชานิยม 
    อันเกิดจากผลผลิตทางการเมือง
    ในรัฐบาลสมัยพรรคไทยรักไทยนั้นมีลักษณะเฉพาะหน้าและไม่ยั่งยืน เป็นการสร้างผลประโยชน์เชิงประชานิยม โดยมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองมากจนเกินไป
    ดังนั้นหากต้องการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืนต้องสร้างกลไกในการปฏิรูปในเชิงคุณค่า ด้วยการปลูกฝังอุดมการณ์ให้กับคนในสังคมอย่างจริงจัง  
    เพราะอุดมการณ์คือขีปนาวุธทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ประชาธิปไตยในสังคมไทยที่ต้องล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
    เพราะนักการเมืองขาดอุดมการณ์
    คำว่า อุดมการณ์ (Ideology) ได้มีนักวิชาการชาวฝรั่งเศสชื่อ แอนตอยเน่ หลุยส์ เดชตัสส์ เดอ
ทราซี่ (Antoine-Louis Destutt de Tracy) นำมาใช้เป็นคนแรกในช่วงปีคริสต์ศักราช ๑๗๙๖-๑๗๙๘ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ "eidos" และ "logos" 
    เมื่อสนธิเข้าด้วยกันสำเร็จรูปเป็น Ideology หมายถึงศาสตร์ว่าด้วยความคิดของมนุษย์ซึ่งสามารถศึกษาค้นคว้าได้ในเชิงประจักษ์ (EmpiricalStudy)
    อุดมการณ์ ในช่วงเวลาต่อจากยุค De Tracy ถึงยุค คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ความหมาย
ก็แปรเปลี่ยนไป  
    เพราะในยุคคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) (๑๘๑๘-๑๘๘๓) อุดมการณ์กลายเป็นสิ่งเพ้อฝัน เพราะมิอาจจะปฏิบัติได้จริง เช่นอุดมการณ์ของโลกเสรีนิยมและสังคมนิยม ซึ่งสามารถพูดได้ โน้มน้าวให้คนหลงเชื่อได้แต่ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติให้บังเกิดมรรคผลได้ เป็นต้น 
    ด้วยเหตุนี้ ในยุคของ คาร์ล ปอปเปอร์ (Karl Popper, ๑๙๐๒-๑๙๙๔) จึงให้ความหมายของอุดมการณ์ว่า... 
    "อุดมการณ์คือระบบของความคิดที่ปิดตัวเองจากโลกภายนอก"
    อย่างไรก็ดี คำว่า อุดมการณ์ (Ideology) ได้มีวิวัฒนาการในทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง
ถึงยุคสังคมโลกาภิวัตน์ ได้มีการปรุงแต่งและปรับเปลี่ยนความหมายให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สังคมการเมืองสามารถนำคำว่า อุดมการณ์ (Ideology) ไปประยุกต์ใช้ให้บังเกิดผลในทางสนองตอบต่อกิจกรรมทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ 
    ดังคำกล่าวที่ว่า "คนที่ไม่มีอุดมการณ์ คือคนที่ไร้จุดยืนทางการเมือง" 
    ด้วยเหตุนี้ อุดมการณ์ จึงต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ประการหลัก คือ
    ๑.โลกทัศน์ (World View) หมายถึง คนที่มีอุดมการณ์ต้องมีจุดยืนบนพื้นฐานแห่งสังคมโลก ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เรียกว่า "มองทะลุโลก"
    ๒.วิสัยทัศน์ (Vision) หมายถึง คนที่มีอุดมการณ์ต้องมองไกลและใฝ่สูง มีการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมที่เคยชินสู่พฤติกรรมที่ใฝ่ฝัน เรียกว่า "คิดใหม่-ทำใหม่"
    ๓.คุณธรรมจริยธรรม (Morality) หมายถึง คนที่มีอุดมการณ์ต้องยกระดับจิตใจของตนเอง สู่ระดับมาตรฐาน คือข้ามพ้นจากผลประโยชน์ตนและพวกพ้อง เรียกว่า "มีจิตอาสา".......
    นั่นคือคำอธิบายถึงอุมการณ์ของพรรคการเมือง และนักการเมือง ว่าต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง 
    และอธิบายได้ชัดเจนว่า อุดมการณ์ของระบอบทักษิณคืออะไร 
    ถ้า "อุดมการณ์" ของพรรคเพื่อไทย สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย คือการมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าผลประโยชน์ชาติ ก็สมควรที่อดีต ส.ส.หลายๆ คนจะย้ายพรรค 
    เพราะอุดมการณ์ไม่ตรงกัน 
    แต่...วันนี้คนในพรรคเพื่อไทย เกิดอุปาทานหมู่ คิดว่าตัวเองมีอุดมการณ์ เป็นนักประชาธิปไตย  ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย 
    และอธิบายที่มาของคำว่าฝ่ายประชาธิปไตยเป็นสูตรสำเร็จว่า....
    เพราะยืนตรงข้ามฝ่ายเผด็จการ 
    เราจึงมีฝ่ายประชาธิปไตยปลอมๆ ที่สวมรอยมาด้วยการโหนเผด็จการ  
    แต่เนื้อแท้คือกลุ่มการเมืองที่มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ โดยใช้การเมืองเป็นเครื่องมือเข้าไปกอบโกยซ้ำแล้วซ้ำเล่า 
    สำหรับอดีต ส.ส.ที่ทิ้งพรรคเพื่อไทย คนพวกนี้ไร้อุดมการณ์ใช่หรือไม่ 
    คงยากที่จะตอบ แต่ที่แน่ๆ คือเปลี่ยนอุดมการณ์ 
    จะดีขึ้นหรือเลวลง ต้องดูที่สันดานว่าเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่
    ถ้าสันดานเดิม ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
    หาประโยชน์เข้าตัว 
    แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนโดยที่หลายๆ คนไม่รู้สึกตัว 
    การสลายขั้ว!
    ขี้หมู ขี้หมา ขี้คน คืออาจมที่ไร้ค่า น่ารังเกียจ
    แต่ถ้าขี้พวกนี้ไปอยู่ในแปลงผัก กลายเป็นของมีค่ามหาศาล 
    ท่ามกลางเสียงด่าไล่หลังอดีต ส.ส.ย้ายพรรค ว่าเป็นผู้ทรยศ ไร้อุดมการณ์ เวียนว่ายในวงจรอุบาทว์ กลับได้รับบทใหม่แบบไม่ได้ตั้งใจ 
    เป็นผู้สลายขั้ว!
    เรื่องนี้หากพูดกันเมื่อปีสองปีที่แล้ว คงไม่มีใครเชื่อว่า นักการเมืองในระบอบทักษิณจะย้ายมาอยู่ข้าง คสช.จำนวนมาก 
    ก็คล้ายๆ กับที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" บอก การเมืองจากนี้จะมากกว่า ๒ ขั้ว อาจเป็น ๓, ๔, ๕ ขั้ว
    สุดท้ายขั้วยิ่งเยอะก็ไม่ต่างสลายขั้ว 
    และท่ามกลางความสับสน นี่อาจกลายเป็นความชัดเจนที่สุดที่จะบอกว่า
    การล้างขั้วการเมืองได้เริ่มขึ้นแล้ว.
                                ผักกาดหอม 
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"