ถือเป็นยุคฟ้าใหม่ของการเมืองไทย ที่บรรดาคนรุ่นใหม่ตบเท้าเรียงแถวเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกลงสนามการเมืองกันคึกคัก รวมทั้ง บอม โอฬาร วีระนนท์ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงในฐานะตำแหน่ง CFO & Co-Founder บริษัท DURIAN CORP ผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ ที่เดินเข้ามาสู่สมาชิกวงการเมือง โดยสวมเสื้อแจ็กเกตของพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหนึ่งในสมาชิกพรรคและนักการเมืองรุ่นใหม่
เหตุผลในการเข้าสู่ถนนการเมือง
จริงๆ อย่าเรียกว่าเข้าสู่ถนนการเมืองเลย เราเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้อยากเป็นนักการเมือง แต่เรารู้สึกว่าไม่มีใครเข้ามาทำการเมืองอย่างจริงจัง โดยเราเป็นคนที่ทำธุรกิจจริงๆ ที่รู้ว่าปัญหาในอุตสาหกรรมนั้นคืออะไร และแก้ปัญหาอย่างไร แล้วเอาสิ่งนี้มาทำให้เกิดขึ้นจริงในเชิงนโยบายและการปฏิบัติได้ มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เราไม่อยากเห็นในช่วงหลังการเลือกตั้งที่จะต้องมีการทะเลาะกันอีกต่อไป
เชื่อว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะก็ย่อมจะมีการทะเลาะกัน ประท้วง การเดินขบวนขึ้นมาอีก ทำให้รู้สึกว่าควรจะมีพรรคที่เป็นทางเลือกหลัก ที่สามารถเป็นทางเลือกใหญ่ได้จริง ไม่ใช่พรรคที่เป็นแค่ไม้ประดับที่ได้แค่ 10 เสียง ถ้าเป็นแบบนั้นปัญหาก็จะไม่จบ สุดท้ายอำนาจก็จะอยู่แค่ขั้วเดิม
อีกทั้งในช่วงที่ทำธุรกิจอย่างจริงจังนั้น เราอยู่ในแบรนด์ที่เป็นท็อปเท็นของโลก ชื่อเสียงของฝั่งบริษัทจึงมีความโดดเด่น และระยะหลังมีโอกาสได้ทำงานสร้างประโยชน์กับกระทรวงทบวงกรมมากมาย ทำให้ผู้ใหญ่เห็นผลงาน และมีการเชิญเข้าไปพูดคุยกับรัฐมนตรีในหลายกระทรวง
ทำให้เชื่อมั่นว่าในสายของ ดร.สมคิด ไม่ว่าจะเป็น อ.อุตตม อ.สุวิทย์ อ.สนธิรัตน์ และ อ.กอบศักดิ์ ซึ่งเป็นสายที่ทำให้เราเห็นอย่างหนึ่งคือ ในการทำธุรกิจกับภาครัฐกับบุคคลดังกล่าว เราไม่เคยเห็นการคอร์รัปชันแม้แต่ครั้งเดียว เขามีความตั้งใจที่จะผลักดันประเทศจริงๆ แต่สิ่งที่ขาดคือ มือที่ทำให้เกิดขึ้นเร็วอย่างจริงจัง เราก็เลยเข้ามาเพื่อช่วยผลักดัน
ขณะเดียวกันการเข้ามาพรรคครั้งนี้จะเรียกว่าทาบทามก็ได้ เพราะว่าคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามา เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะถูกด่ามีมาก แต่เราอยากทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้วการทำการเมืองโดยที่ไม่เป็นนักการเมืองมันทำได้ และเราเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าต่อให้ที่พรรคทะเลาะกันก็ตาม เราจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเลิกทะเลาะ และเราเป็นคนหนึ่งที่จะรวมคนรุ่นใหม่หลายๆ พรรคมาทำงานการเมืองให้ดูว่าเป็นอย่างไร
ตั้งใจจะลงสมัคร ส.ส.พรรคหรือไม่
การลง ส.ส.ขอให้เป็นผู้ใหญ่ที่เป็นผู้พิจารณากันอีกที ส่วนตัวอยากมองให้รอบด้านกว่านี้ แต่เราพูดได้เต็มปากว่าเราเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง และทำนโยบายโดยรับฟังเสียงรอบด้านให้เกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน
ในฐานะนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ จะเข้ามาช่วยหนุนเสริมพัฒนาพรรคอย่างไร
นักธุรกิจเราจะเจอ 2-3 มุม ที่คนบางกลุ่มพูดว่า เศรษฐกิจไม่ดี เงินในกระเป๋าหายไป ซึ่งสถานะดังกล่าวไม่ได้เกิดแค่ประเทศไทย แต่เกิดกับทั่วโลก เรียกได้ว่าเงินกำลังเปลี่ยนทิศ ซึ่งข้อเสียของประเทศไทยคือ ไม่มีใครพูดให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจจริงๆ ว่า เศรษฐกิจที่มันไม่ดี มันไม่ใช่ไม่ดีเพราะตัวประเทศ แต่ไม่ดีเพราะว่าภาวะโลกมันเปลี่ยนเร็ว ซึ่งเราจะแก้ปัญหาได้ก็ต่อเมื่อเราตระหนักรู้ก่อนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมันมีจริง
อยากให้นักธุรกิจไทย และผู้กำหนดนโยบาย รู้ว่าคุณไม่ใช่แค่ต้องสื่อสาร แต่ขั้นตอนแรกคุณต้องทำให้ทั้งประเทศตระหนักรู้ อีกทั้งต้องมีเครื่องมือที่ทำให้ประชาชนได้เปลี่ยนโดยมีต้นทุนที่ไม่สูง และเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ดังนั้นจะเอาความรู้ของผมมาปรับปรุงพรรค และนโยบายให้เหมาะสมกับกลุ่มคนต่างๆ มากขึ้น
อยากเห็นการเมืองไทยเป็นอย่างไร
ผมขอแบ่งการเมืองเป็น 3 ระดับ 1.การเมืองของกลุ่มคนที่เป็นท็อปในแต่ละพรรค แน่นอนว่ายังมีโครงสร้างเดิมอยู่ ซึ่งจะต้องอาศัยโครงสร้างเดิมในการเปลี่ยนถ่าย โดยไม่สามารถเปลี่ยนได้ในรุ่นเดียว แต่สิ่งที่เราอยากเห็นภาพใหม่ของการเมือง เราอยากเห็นรัฐบาลใหม่ที่จัดตั้งหลังการเลือกตั้ง ต้องมีผู้บริหารที่คุมกระทรวงสำคัญ มีโอกาสนำนโยบายมาปฏิบัติ อีกทั้งต้องเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 45 ปี และจะต้องมีความรู้ในด้านนั้นๆ จริงมาปฏิบัติ เพราะเราต้องเตรียมประเทศรับกับการเปลี่ยนแปลงใน 5-10 ปีข้างหน้า
2.เราไม่อยากเห็นนโยบายที่เป็นของพรรคใดพรรคหนึ่งโดยเฉพาะ เราอยากสร้างนโยบายกลาง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตาม พรรคฝ่ายตรงข้าม หรือพรรคเรา ถ้านโยบายดีจริงๆ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็สามารถหยิบมาใช้ได้ คนอื่นก็สามารถหยิบมาได้ใช้ด้วยเช่นกัน 3.ต้องเกิดความร่วมมือของกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนรุ่นใหญ่ที่จับมือทำงานร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่แค่นักการเมือง แต่นักธุรกิจต้องจับมือภาคสตาร์ตอัพ โดยไม่ทิ้งภาคประชาสังคม ต้องเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ต้องสร้างประเทศเป็นธุรกิจ ถ้าเป็นจริงจะทำให้ทุกอย่างเกิดประสิทธิภาพหมุนเร็ว และเป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากขึ้น
สังคมมองว่าพรรคประชารัฐคือพรรคทหาร
ในเวลานี้ยังไม่มีทหาร หรือ คสช.ที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจนยังไม่มี แต่ในอนาคตผมเชื่อว่าพรรคเราจะเป็นที่รวมตัวของสมาชิก ไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทยเดิม พรรคประชาธิปัตย์เดิม ทหารเดิม หรือใครเดิมก็แล้วแต่ ที่ออกมาเพราะว่าไม่อยากเห็นการทะเลาะกันมาอยู่ที่นี่ ส่วนนโยบายถ้ามีการต่อเนื่องกัน มีทั้งข้อดี และข้อไม่ดี
ผมเชื่อว่าประเทศใช้เวลากว่า 4 ปี ในการปรับโครงสร้าง เหมือนตึก เราวางรากฐานมาแน่นพอ 4 ปีต่อมานั้นคือการนำประเทศไทยทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่มีการต่อเนื่องในเชิงนโยบาย ผลเสียจะกลับมีมากกว่า เพราะสมมติพรรคใหม่มาโดยไม่มีนโยบายที่สอดคล้องกับรัฐบาลปัจจุบัน มันก็จะเกิดการรื้อโครงสร้างอยู่เรื่อยๆ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |