"สมคิด" ยังแอบลุ้นประคองตัวเลขส่งออกปีนี้โตได้ 7% ช่วยส่งจีดีพีปี 2561 โตเข้าป้ายที่ 4% กำชับทุกส่วนทำงานเต็มที่ จี้รัฐวิสาหกิจลุยลงทุน อย่าอ้างการเลือกตั้ง ด้าน "ขุนคลัง" รับปากแปลงร่าง LTF หนุนคนชั้นกลางออมเงิน
22 พ.ย.61- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2561 ที่ขยายตัวลดลงเหลือ 3.3% ไม่ได้ซีเรียส ซึ่งเป็นผลมาจากส่งออกในเดือน ก.ย.ที่มีปัญหา แต่เมื่อพิจารณาถึงการบริโภคและการลงทุน ยังขยายตัวดีอยู่ โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี ได้เร่งรัดทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่ งบลงทุนภาครัฐและรัฐวิสาหกิจต้องไม่ล่าช้า ซึ่งจากการประชุมติดตาม พบว่าการเบิกจ่ายเป็นไปตามเป็นไปตามเป้าหมายพอสมควร และจะกลับมาติดตามผลอีกครั้งในเดือน ธ.ค. นี้
ทั้งนี้ การขยายตัวส่งออกในเดือน ต.ค. ที่กระทรวงพณิชย์ประกาศที่ 8.7% ก็มีสิทธิลุ้นในช่วง 2 เดือนที่เหลือ หากประคองการส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 7% ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2561 ขยายตัวได้มากกว่า 3.5% ส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4% ซึ่งการส่งออกจะปล่อยให้ชะลอตัวไม่ได้ เพราะมีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของจีดีพีกว่า 70% ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ต้องไม่ท้อถอย ต้องเร่งหาตลาดสินค้าอื่นๆ ซึ่งสินค้าที่ส่งออกหดตัวมาก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการส่งไปจีน และส่งต่อไปสหรัฐ ทำให้ได้รับผลกระทบ
ขอให้สู้ต่อไป แม้เรากำลังจะมีการเลือกตั้ง รัฐบาลปัจจุบันก็ต้องทำงานเต็มที่ การลงทุนต้องให้เป็นไปตามเป้าหมาย ท่องเที่ยวก็ต้องเร่งให้มีการฟื้นตัว การเบิกจ่ายภาครัฐต้องมีความต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกก็ต้องพยายามมากขึ้น ต้องทำให้เศรษฐกิจทั้งปียืนเหลือกว่า 4% ให้ได้ก็จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นต่างชาติ”นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุนรัฐวิสาหกิจ อยากให้มีการคิดล่วงหน้า ว่ามีโอกาสอะไรบ้าง และเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อทำแผนการลงทุนได้ โดยได้สั่งการให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมไปร่วมกันพิจารณาว่าโครงการในอนาคตมีอะไรบ้างที่ควรทำ ส่วนรัฐวิสาหกิจอื่น เช่น ไปรษณีย์ไทย ก็มีโอกาสเติบโตสูง จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ถ้าขยันทำงาน ก็จะมีส่วนแบ่งการตลาดในด้านการส่งสินค้า ก็จะทำให้องค์กรมีรายได้เพิ่มขึ้น
นายสมคิด กล่าวว่า สำหรับมาตรการเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเพิ่มเงินช่วยเหลือคนชรา ยืนยันว่าไม่กระทบกับฐานะการคลัง เพราะคลังมีความรอบคอบ การใช้เงินก็เป็นเงินที่มาจากกองทุนประชารัฐฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงบประมาณส่วนอื่น และมาตรการดังกล่าวก็ไม่ใช่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากันมานาน เมื่อถึงเวลาก็ต้องส่งการบ้าน และเข้า ครม.ออกเป็นมาตรการ ส่วนมาตรการสำหรับคนชั้นกลาง รัฐบาลก็อยู่ระหว่างพิจารณา ที่ผ่านมาก็มีการสนับสนุนสินเชื่อสตาร์ทอัพ ผ่านธนาคารของรัฐ
นอกจากนี้ ได้สั่งให้ รมว.คลังไปศึกษามาตรการลดหย่อนภาษีการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่กำลังจะหมดอายุในปี 2562 หากจะมีการต่อเวลา จะแปลงมาตรการให้ไปต่อได้อย่างไร และต้องอธิบายคนในสังคมให้ชัดเจนว่าไม่ใช่มาตรการที่รัฐบาลต้องการช่วยเหลือคนมีรายได้มาก แต่เป็นการสนับสนุนคนชั้นกลาง ที่อยู่ระหว่างการสร้างตัว เพราะหากรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้เกิดการออม ก็ต้องมีสิ่งจูงใจให้ออม ซึ่ง รมว.การคลัง ก็รับปากแล้วว่าจะดูแลให้
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |