รัฐบาลเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในเรื่องของระบบขนส่งสาธารณะ น้ำ บก ราง ให้การเชื่อมต่อด้านการเดินทางของประชาชนมีความสะดวก รวดเร็ว และลดปัญหาการจราจรที่แออัด และสิ่งที่สามารถขนส่งผู้โดยสารได้ครั้งละมากๆ และใช้ต้นทุนน้อยก็คือระบบรางโดยรถไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลได้พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นโครงข่ายแมงมุง
    ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็มีรถไฟฟ้าเกิดขึ้นหลายสาย ไม่ว่าจะเป็สายสีเขียว น้ำเงิน แดง ม่วง และที่กำลังก่อสร้างอีกหลายสาย ชมพู ส้ม เหลือง น้ำตาล  ซึ่งหากแล้วเสร็จก็น่าจะช่วยให้การเดินทางของประชาชนในเขต กทม.และปริมณฑลมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เพื่อให้การใช้บริการของประชาชนมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทางรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้ผลักดันให้เกิดการใช้ตั๋วร่วม หรือใบเดียวใช้ได้ทุกระบบ   
    ซึ่งนโยบายดังกล่าวนั้นทางรัฐบาลได้พยายามผลักดันให้เกิดการใช้ร่วม ระหว่างรถไฟฟ้าที่ให้บริการ คือ  รถไฟฟ้าบีทีเอส กับรถไฟใต้ดิน เอ็มอาร์ที และรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดให้ใช้บริการมาประมาณ 2 ปีแล้ว   แต่การนำตั๋วร่วมมาใช้นั้นกับไม่มีความคืบหน้า เลื่อนแล้วเลื่อนอีก 
    แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมในฐานะที่กำกับดูแล สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้พยายามผลักดันโครงการ เริ่มแจกตั๋วร่วมหรือบัตรแมงมุม เมื่อประมาณปลายปี 2560 ที่ผ่านมานั้น โดยรัฐบาลได้เริ่มนำระบบตัวร่วมมาใช้ โดยแบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ บัตรสำหรับบุคคลทั่วไป บัตรสำหรับนักเรียน/นักศึกษา และบัตรผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถใช้ได้ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงกับรถไฟฟ้าใต้ดิน และจะขยายไปยังรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ซึ่งตั้งเป้าจะเริ่มใช้ได้ภายในเดือน มี.ค.61 พร้อมกับรถเมล์ ขสมก. 2,600 คัน และรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในเดือน มิ.ย.-ก.ค.61 
    โดยได้มอบหมายให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ม.) จะเป็นผู้เจรจากับเอกชนในการปรับระบบรองรับตั๋วร่วม และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับเอกชนคู่ขนานกัน ส่วนการใช้ตั๋วแมงมุมกับมอเตอร์เวย์ และทางด่วนพิเศษ (ช่องจ่ายเงินสด) คาดว่าจะใช้ได้ปลายปี 2561
    แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถที่จะใช้บริการได้ ยังคงใช้ได้แต่รถไฟฟ้าสายมีม่วง กับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ราคาตั๋วถูกลง เพียงแต่ช่วยให้ที่อยู่ชานเมืองสามารถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้สะดวกเท่านั้น  แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า แม้จะใช้ตั๋วใบเดียวกัน ค่าโดยสารก็ยังจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก 
    มาล่าสุด เผด็จ ประดิษฐเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ออกมาระบุอย่างชัดเจนว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ที่มี นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ได้ยืนยันว่าการเปิดให้บริการระบบตั๋วร่วม ได้ตามแผนคือเดือนพฤษภาคม 2562 แต่ก็ยังไม่เต็มรูปแบบ 
    โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยืนยันว่าจะเปิดให้บริการระบบอี-ทิคเก็ตบนรถเมล์ไม่เกินเดือนเมษายน 2562, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และเรือด่วนเจ้าพระยาจะเปิดให้บริการระบบตั๋วร่วมได้ในเดือนพฤษภาคม 2562  ส่วนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อยู่ระหว่างเจรจากับรถแท็กซี่บางกลุ่ม เช่น รถแท็กซี่ OK เพื่อนำร่องเปิดให้บริการตั๋วร่วมก่อนในเดือนพฤษภาคม 2562 เช่นกัน
    ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้นจะเริ่มรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ในเดือนมีนาคม 2562 แต่ไม่สามารถรับตั๋วร่วมได้ เพราะ บีทีเอสต้องลงทุนระบบตั๋วเวอร์ชั่น 4.0 ซึ่งสามารถรองรับการจ่ายค่าโดยสารผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต รวมถึงบัตรเติมเงิน (Europay, MasterCard, VISA : EMV) เพียงครั้งเดียวไม่ต้องการลงทุนซ้ำซ้อน ดังนั้นการใช้ตั๋วร่วมอย่างเต็มรูปแบบเวอร์ชั่น 4.0 ก็คงเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือเดือนธันวาคม 2562 ถ้าไม่ได้คงต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด 
    อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงได้แต่นั่งลุ้นกันว่า ระบบตั๋วร่วมที่ประชาชนคาดหวังว่าจะได้ใช้กันในเร็วๆ นี้ จะเป็นจริงหรือไม่ เพราะดูๆ แล้วแค่ใช้ร่วมกันระหว่างรถไฟฟ้ามีส่วนกับรถไฟใต้ดินเอ็มอาร์ที ซึ่งมีรับสัมปทานผู้เดินรถเป็นบริษัทเดียวกัน กว่าจะเริ่มใช้บัตรร่วมกันยังยากแสนยาก แถมอัตราค่าโดยสารก็ไม่ได้ถูก เช่นที่ทางรัฐบาลประกาศ เพราะเส้นทางหัวลำโพง-บางใหญ่ก็ยัง 70 บาทต่อเที่ยว ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างสูงสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ
    งานนี้มีแต่ลุ้นว่าจะเป็นตั๋วเลื่อน หรือตั๋วเลื่อน เลื่อน เลื่อนไปเรื่อยๆ.