ว่าด้วย...ความเป็นนักเลง


เพิ่มเพื่อน    

      ไปซะแล้ว...คุณพี่ อาจินต์ ปัญจพรรค์ อภิมหานักเลงแห่งวงการวรรณกรรม แต่ไปในขณะอายุ อานาม ขึ้นไปถึงตัวเลข 91 ก็ต้องถือว่า...ยอดแล้ว!!! เพราะถ้านึกถึงช่วงชีวิตที่คุณพี่ท่านถูกเคี่ยวกรำมาตั้งแต่เหมืองแร่ ไปจนถึงดงน้ำหมึก ปริมาณยาสูบและน้ำมังสวิรัติที่เคยสะสมเอาไว้ในร่างกาย ตลอดไปจนความสมบุก สมบัน ในแทบทุกย่างก้าว แต่ยังอุตส่าห์มาถึงตัวเลข 91 กันจนได้ ต้องถือว่า...อะไรจะ แกร่ง ไปได้ถึงปานนั้น...

                                                         --------------------------------------------------------

      แม้จะไม่ถึงกับรู้จัก มักคุ้น กับท่านมากมายซักเท่าไหร่ แต่การที่ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรม บ่มสอน จากท่านในบางครั้ง ก็เลยต้องขออนุญาตแสดงความอำลา อาลัย เอาไว้ ณ ที่นี้ เพราะนี่นี่แหละ...ที่ต้องถือเป็น ของจริง-ของแท้ ไม่ใช่แต่เฉพาะในวงการวรรณกรรม แต่ในแง่ของความเป็นมนุษย์ ที่ใจใหญ่ ใจกว้าง ปานแม่น้ำ มหาสมุทร ไม่เคยคิดเล็ก คิดน้อย ไม่เคยถือสาหาความอะไรต่อมิอะไรที่ออกไปทางจิ๊บๆ จ้อยๆ สามารถดำรงตนเป็น ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ที่ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน ต่างพร้อมค้อมหัวคารวะอย่างเต็มอก-เต็มใจได้ทุกเมื่อ...

                                                          ---------------------------------------------------------

      แต่สำหรับวงการ การเมือง ในช่วงนี้...ดูเหมือนว่า สไตล์ อย่างคุณพี่ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ชักทำท่าว่าน่าจะลดน้อย ถอยลงลงไปเรื่อยๆ คือ ความเป็นนักเลง ที่เคยมีๆ อยู่ในบรรดานักการเมืองจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาประเภทรุ่นเก๋า รุ่นเก่า ทั้งหลาย หลังๆ มานี้...จะเป็นด้วยเหตุผล กลใด ก็มิอาจทราบได้ มันชักออกไปทางจุ๊กๆ จิ๊กๆ คิดเล็ก คิดน้อย ไม่ก็ คิดมาก ทั้งๆ ที่บางเรื่อง บางราว ไม่น่าจะหยิบเอามาคิด หยิบเอามาเป็นเรื่อง เป็นราว แต่ก็ยังดันทำให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้...

                                                            --------------------------------------------------------

      โดยเฉพาะเรื่องภายในของพรรค ประชาธิกัด เขานั่นแหละทั่น...ทั้งๆ ที่เพิ่งแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตยแบบมิดด้าม สุดด้าม เปิดโอกาสให้มีการซาวเสียง เลือกตั้งหัวหน้าพรรค แบบชนิดพรรคใดๆ ก็หาทางลอกเลียนแบบไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็แค่การปิดบ้าน เปิดบ้าน เปิดสำนักงานต้อนรับพรรคการเมืองอื่นๆ กินข้าว เลี้ยงข้าว กันเป็นการภายใน หรือภายนอกก็แล้วแต่ กลับกลายมาเป็นเรื่อง เป็นราว ส่งผลให้ต้องหันมากัดกันไป-กัดกันมา ทั้งเสียของ เสียรังวัด และเสียอารมณ์ความรู้สึกไปจนได้...

                                                              -------------------------------------------------------

      คือถ้าหากเป็น นักเลงแท้ๆ นั้น...การที่จะไปแวะบ้านใครต่อใครเขา อย่างน้อย...คงต้องคิดหน้า คิดหลัง ประมาณ 4 ตลบ 5 ตลบ เป็นอย่างน้อย ยิ่งถ้าหากเป็นเพื่อนรัก เพื่อนใคร่ เพื่อนตาย ยิ่งแล้วใหญ่ หนีไม่พ้นต้องระแวด ระวัง ไม่ให้กลายเป็นภาระให้เพื่อน หรือก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อสถานะของเพื่อนอย่างมิอาจปฏิเสธได้ แต่ก็นั่นแหละ...แค่ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน เขาเปิดวงข้าว วงเหล้า พูดคุยระหว่างกันและกัน หรืออาจแถมด้วยซุบซิบ นินทา ไปจนถึงถ่ายคลิปวิดีโอออกมาเผยแพร่ถึงความสนุกสนาน บันเทิง เริงรมย์ใดๆ ก็แล้วแต่ สำหรับผู้ที่เป็น นักเลงแท้ๆ คงไม่ถึงกับต้องไปถือสา หาความ หยิบเอาเรื่องหีดๆ หุ้ยๆ เช่นนี้ มาเป็นสาระอะไรให้ต้องเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว โดยใช่เหตุ...

                                                               --------------------------------------------------------

      พูดง่ายๆ ว่า...สำหรับบรรดา นักเลงแท้ๆ แล้ว เรื่องประเภทนี้ต้องถือว่า ขอกันกินยังมากกว่านี้ อะไรประมาณนั้น ประเภทถึงขั้น เลือดกลบปาก หรือเลือดไหลล้นขึ้นมาถึงคอหลอยย์ย์ย์ เผลอๆ...ยังต้องหันมา  กลืนเลือด ไม่คิดจะแสดงออก ไม่ยอมแสดงอาการใดๆ ให้เห็นเอาเลยแม้แต่นิด อันนั้นนั้นแหละ...ถึงจะจัดอยู่ในประเภท นักเลง แบบของจริง-ของแท้ได้จริงๆ ซึ่งไอ้ ความเป็นนักเลง ที่ว่านี้ ว่าไปแล้ว...ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับวงการการเมืองแต่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวงการวรรณกรรม วงการนักหนังสือพิมพ์ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ ข้าราชการ ฯลฯ หรือแวดวงแห่งความเป็นมนุษย์เอาเลยก็ว่าได้ ต่างถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ราคา ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                                                                -----------------------------------------------------

      หรือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก ธรรมะ ชนิดหนึ่ง อย่างที่พระสงฆ์องค์เจ้าท่านเรียกๆ เอาไว้ว่า ขันติธรรม นั่นเอง เช่น ที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ท่านเรียกว่า ความอดทน อดกลั้น ต่อโลกธรรมฝ่ายที่ไม่น่าพึงพอใจ และเพิ่งหยิบเอามาประทานเป็นโอวาท ไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง โดยให้ความสำคัญเอาไว้ถึงขั้นว่า... ขันติธรรมคือตัวที่จะช่วยเอื้ออำนวยให้เกิดคุณธรรมอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นความเพียร ความสามัคคี ความเสียสละ ไปจนถึงการเกิดปัญญารู้แจ้งในอริยสัจธรรม” จนถึงกับทรงอุปมา-อุปไมยเอาไว้ว่า ความอดทนคือเครื่องประดับของนักปราชญ์ หรือ ความอดทนเป็นตบะของผู้พากเพียร หรือ ความอดทนเป็นกำลังของนักพรต เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                                  -------------------------------------------------------

      ด้วยเหตุนี้...แค่อมเลือด กลืนเลือด เอาไว้ซักอึก สองอึก มันจะยากเย็นแสนเข็ญกันไปถึงขั้นไหน ไม่ว่าจะฝ่ายที่เต็มไปด้วยเพื่อนรัก เพื่อนใคร่ เพื่อนตาย หรือฝ่ายที่ไม่ค่อยมีเพื่อนก็เถอะ ถ้าคิดถึงความสุข ความสงบ ของชาติบ้านเมืองที่หนีไม่พ้นต้องอาศัยความเพียร ความสามัคคี ความเสียสละ และคุณธรรมด้านอื่นๆ ตามมาอีกหลายต่อหลายเรื่อง แค่ยอมละทิ้ง สัญชาตญาณขั้นพื้นฐาน คือการ กัดกัน ลงไปแค่ไม่กี่นาที วินาที บรรยากาศการเมือง หรือความเป็นไปในบ้านเมืองนับจากนี้ มันน่าจะดีๆ ขึ้นมาอีกเยอะ...

                                                                  ---------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Jane Addams... The essence of immorality is the tendency to make an exception of myself.- จุดสำคัญของความไร้ศีลธรรม อยู่ที่แนวโน้ม ซึ่งไม่นับ...ตัวฉัน...เข้าไว้ด้วย...

                                                                   -----------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"