คณะตุลาการพิเศษของศาลกัมพูชามีคำพิพากษาประวัติศาสตร์เมื่อวันศุกร์ โดยตัดสินว่าเขียว สัมพัน อดีตประมุขแห่งรัฐของเขมรแดง และนวน เจีย อดีตผู้นำหมายเลข 2 มีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเวียดนามและมุสลิมจาม
นวน เจีย นั่งฟังคำพิพากษาของคณะตุลาการพิเศษในศาลกัมพูชา (อีซีซีซี) ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 / Mark Peters / Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia / AFP
สำนักข่าวเอเอฟพีและบีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ว่าคำพิพากษาของคณะตุลาการพิเศษในศาลกัมพูชา (อีซีซีซี) ในวันเดียวกันนี้เป็นการตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าผู้นำเขมรแดงมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลังจากระบอบเขมรแดงสิ้นสลายลงเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว เขียว สัมพัน อดีตประมุขแห่งรัฐของกัมพูชาอายุ 87 ปีในปัจจุบัน และนวน เจีย "พี่ใหญ่หมายเลข 2" ของเขมรแดง อายุ 92 ปี คือผู้นำอาวุโสสูงสุด 2 คนที่หลงเหลือชีวิตอยู่ จากระบอบเหมาอิสต์สุดโต่งที่ปกครองกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522
ระบอบเขมรแดงภายใต้การนำของพล พต "พี่ใหญ่หมายเลข 1" ได้เข่นฆ่าสังหารชาวกัมพูชาราว 2 ล้านคน ผ่านการประหารชีวิตหมู่, บังคับใช้แรงงานหนัก และภาวะอดอยาก แต่คำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ถือเป็นครั้งแรกที่เป็นการตัดสินความผิดฐาน "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" หลังจากอดีตผู้นำเขมรแดง 2 รายนี้เคยถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตมาแล้วเมื่อปี 2557 ในความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
นิล นอนน์ ประธานองค์คณะผู้พิพากษากล่าวว่า คณะตุลาการลงความเห็นว่านวน เจีย มีอำนาจในการตัดสินใจขั้นสูงสุดพร้อมกับพล พต ฉะนั้น นวน เจีย จึงเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของอาชญากรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ด้วยการสังหารชนกลุ่มน้อยชาวจามและกลุ่มที่นับถือศาสนา ส่วนเขียว สัมพัน นั้นมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเวียดนาม แต่ไม่รวมถึงชาวจาม
ทั้งสองถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยให้รวมกับโทษเดิมเป็นโทษคราวเดียวกัน
เขียว สัมพัน ขณะถูกนำตัวมาฟังคำพิพากษา / Mark Peters / Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia / AFP
นอกจากความผิดข้างต้นแล้ว จำเลยทั้งสองยังถูกตัดสินว่ามีความผิดโทษฐานอื่นๆ ด้วย ทั้งการบังคับแต่งงาน, ข่มขืน, การทารุณต่อชาวพุทธ และการกระทำโหดร้ายป่าเถื่อนอื่นๆ ที่เกิดภายในคุกและค่ายใช้แรงงานหนักทั่วกัมพูชาในช่วงเวลานั้น
ศาลลูกผสมที่ใช้ทั้งกฎหมายของกัมพูชาและกฎหมายระหว่างประเทศในการดำเนินคดีกับพวกอดีตผู้นำเขมรแดงนี้ ก่อตั้งขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2549 จนถึงบัดนี้ ศาลซึ่งใช้งบประมาณมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์แห่งนี้ เพิ่งตัดสินความผิดจำเลยได้เพียง 3 ราย
กาง กึ๊ก เอียว หรือสหายดุช ผู้คุมคุกตวลสเลง ถูกตัดสินว่ามีความผิดเมื่อปี 2553 ขณะที่เอียง สารี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศที่ตกเป็นจำเลยร่วมกับเขียว สัมพัน และนวน เจีย ชิงเสียชีวิตไปก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาคดีแยกต่างหาก 2 คดีแรกเมื่อปี 2557 ส่วนเอียง ทิริต อดีตรัฐมนตรีกิจการสังคมที่เป็นภรรยาของเอียง สารี ซึ่งเป็นจำเลยร่วมคนที่ 4 ศาลลงความเห็นว่ามีอาการป่วยทางจิตที่ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีได้ นางเสียชีวิตเมื่อปี 2558
ขณะที่พล พต ผู้นำสูงสุดของระบอบเขมรแดงนั้น เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2541 โดยยังไม่ถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อชดใช้ความผิด
หลายฝ่ายเชื่อว่าคำพิพากษาเมื่อวันศุกร์จะเป็นคำตัดสินสุดท้ายของคณะตุลาการพิเศษแห่งนี้ ซึ่งถูกครหาเรื่องการถูกแทรกแซงทางการเมือง และนายกฯ ฮุน เซน ซึ่งเคยเป็นนายทหารของเขมรแดง มักเตือนว่าเขาจะไม่อนุญาตให้ศาลสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลอื่นเพิ่มเติม โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงของกัมพูชา.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |