บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยครั้งแรกกับการทำไพรมารีโหวตอย่างจริงจัง โดยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ใช้ระบบดังกล่าวกับการเลือกหัวหน้าพรรค
ซึ่งเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้งหยั่งเสียง (กกต.พรรค) ได้ส่งผลโหวตให้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรค ประกาศผล
ปรากฏว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง 67,505 เสียง ชนะ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” เพียงแค่ 1 หมื่นคะแนนโดยประมาณ
ต้องยกนิ้วให้กับ “อภิสิทธิ์” ที่เป็นคนคิดนำไพรมารีโหวตมาใช้ เพราะได้ทั้งหาเสียงล่วงหน้าก่อนพรรคการเมืองอื่นโดยไม่ผิดกฎหมาย และยังทำให้กระแสอยากเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคสิ้นกระบวนความ
ด้วยการยืนยันผ่านเสียงของสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ยังมอบความไว้วางใจให้กับ “เดอะมาร์ค” ในการถือธงนำพรรคเข้าสนามรบเลือกตั้งในอนาคต
เมื่อมีความชัดเจนว่า “อภิสิทธิ์” ยังได้ไปต่อ ทิศทางของพรรคจึงชัดเจนพอให้เห็นว่าเลือกตั้งรอบนี้ประชาธิปัตย์จะเดินอย่างไร เพราะก่อนหน้า “หัวหน้าพรรค” ได้แสดงจุดยืนไว้หลายประการ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการจับมือกับใครเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
แน่นอนที่สุดว่าไม่มีทางที่จะร่วมกับพรรคเพื่อไทยหรือบรรดาบริษัทลูกของพรรคเพื่อไทยเด็ดขาด!!!
ถ้ายังจำกันได้ “อภิสิทธิ์” พูดเองว่า ตราบใดที่เพื่อไทยยังอยู่ภายใต้เงาของตระกูลชินวัตร ไม่มีทางที่จะพูดคุยจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่วนกับพรรคการเมืองอื่นๆ ต้องดูว่าแนวคิด อุดมการณ์ นโยบายตรงกับประชาธิปัตย์หรือไม่ อย่างไร
กระนั้นทั้งพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ก็ต่างเป็นเผด็จการด้วยกันทั้งสิ้น โดยพรรคเพื่อไทย บุคลากรประชาธิปัตย์ทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขาคือเผด็จการรัฐสภา ส่วน พปชร. ทุกคนรู้ดีนี่คือพรรคที่สืบทอดอำนาจจากเผด็จการทหารยึดอำนาจประเทศ
ภายหลังหากจะกลับลำร่วมมือกับพรรคใดพรรคหนึ่งที่ว่ามานี้ คงต้องเตรียมคำอธิบายที่ฟังขึ้นให้แก่สังคม เนื่องจากอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ คือ “เสรีประชาธิปไตย” ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบค้ำคออยู่
อย่างไรก็ตาม แม้ “อภิสิทธิ์” จะแน่วแน่ต่ออุดมการณ์ของพรรค แต่ใช่ว่าทุกคนจะยึดอุดมการณ์เป็นหลักเหมือนกัน หากผลการเลือกตั้งคะแนนของพรรคพลังประชารัฐพอมีลุ้น บวกกับพรรคขนาดกลางและพรรคเกิดใหม่ให้การสนับสนุน อีกทั้งดีลหน้าห้องน้ำกับ ส.ส.ประชาธิปัตย์บางก๊กได้สำเร็จ ก็จะทำให้สิ่งที่ “หัวหน้ามาร์ค” ประกาศไว้จะไม่ร่วมกับเผด็จการเป็นอันล้มเหลว
มีความเป็นไปได้ว่าในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา ส.ส.ของพรรคอาจเป็นงูเห่ายกมือโหวตสวนมติของพรรคก็ได้
ที่สำคัญครั้งนี้จะขับไล่หรือไล่ออกจากพรรค เพราะแหกมติพรรคก็ไม่ได้ด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกรับรองความเป็นอิสระไว้
ดังนั้น นี่จึงเป็นตอหลักที่ต้องระมัดระวัง และ “อภิสิทธิ์” จะต้องแก้ไขสถานการณ์นี้ให้จงได้ เพราะไม่เช่นนั้นประชาธิปัตย์จะเสียเอกภาพ และแบ่งเป็นสองฝ่าย เป็นกลุ่มกองทัพงูเห่าหนึ่งกลุ่ม
ขณะเดียวกันก็จะมี “หัวหน้าพรรค” และทีมสนับสนุนอีกส่วนหนึ่ง
ในทางตรงกันข้าม หากปล่อยให้มีงูเห่าโดยไม่จัดการอย่างจริงจัง สังคมจะมองได้ว่านี่คือการขยิบตาให้กันในเกมที่ชื่อว่า
“ตีสองหน้า”!!!!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |