พระเอกขี่ม้าขาว ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่าง “ภาคการท่องเที่ยว” ในปี 2561 อาจจะไม่ค่อยราบรื่นเหมือนที่ผ่านมา เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้รวมจากภาคการท่องเที่ยวในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาเริ่มชะลอตัวลง โดยจำนวนนักท่องเที่ยว ณ สิ้นเดือน ก.ย.2561 อยู่ที่ 2.65 ล้านล้านคน เพิ่มขึ้น 2.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้อยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.92%
ทั้งนี้ มีสัญญาณจากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจับตาคือ “การชะลอลงของนักท่องเที่ยวจีน” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์เรือล่มที่ จ.ภูเก็ต รวมถึงเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงกับนักท่องเที่ยวจีนที่สนามบิน จะกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คาดการณ์การท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือ 4 เดือนของปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.) ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น นักท่องเที่ยวจากจีนจะยังไม่กลับมาขยายตัวเป็นบวก จากเดือน ก.ค. ที่ขยายตัวติดลบ 0.9% และในเดือน ส.ค. ขยายตัวติดลบ 11.8%
“กระทรวงการคลัง” ยอมรับว่าผลกระทบจากเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวล่มที่ จ.ภูเก็ต และการใช้ความรุนแรงกับนักท่องเที่ยวจีนที่สนามบิน ไปจนถึงสถานการณ์ค่าเงินตุรกีที่อ่อนลง ทำให้เกิดการแย่งชิงตลาดนักท่องเที่ยวจากไทย ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอยู่พอสมควร ทำให้มีการปรับลดคาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปี 2561 ลงเหลือ 38 ล้านคน เติบโต 7% จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 39.5 ล้านคน เติบโต 11.1% ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยว ลดลงเหลือ 2.01 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 9.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.08 ล้านล้านบาท เติบโต 14.1%
ขณะที่ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ประเมินว่านักท่องเที่ยวจีนไม่ได้ยกเลิกการเดินทางเข้ามาในไทย แต่เป็นการเลื่อนการท่องเที่ยวออกไป ทำให้คาดว่าในปี 2562 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย จะสูงถึง 40 ล้านคน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากปัจจัยบวกเรื่องความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น การเปิดเส้นทางการบินในกลุ่มประเทศอาเซียนมาไทยเพิ่มขึ้น และความสามารถในการบริหารจัดการของสายการบินที่ส่งผลให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นด้วย
ด้วยปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้รัฐบาลต้องเร่งพิจารณามาตรการออกมาเพื่อเป็น “ยาแรง” ในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ที่เคยเป็นพระเอกขี่ม้าขาวในการช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศ ให้ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ โดยล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราของคนต่างด้าว จำนวน 21 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “จีน” ที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อการท่องเที่ยว เป็นเวลาไม่เกิน 15 วัน ในกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) จากเดิมที่ให้มีการเก็บอัตราค่าธรรมเนียม ประเภทนักท่องเที่ยวชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นเงิน 2,000 บาทต่อราย ซึ่งจะดำเนินการระหว่างสิ้นเดือน พ.ย.2561-ม.ค.2562 (ช่วงเทศกาลปีใหม่)
โดยรัฐบาลให้เหตุผลสำคัญว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ข้อมูลตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 10%
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการครั้งนี้คือ เป็นการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ ทำให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นจากมาตรการครั้งนี้ไม่น้อยกว่า 30% ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจากจีน ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 12 ล้านคนในปีนี้ จากเดิมที่คาดไว้ 10.5 ล้านคน โดยมาตรการนี้ถือเป็นการกระตุ้นความเชื่อมั่นในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนได้ยาวไปจนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนในปี 2562 และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปีหน้าให้ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เชื่อว่ารัฐบาลมั่นใจว่าการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa On Vrrival ครั้งนี้ แม้จะต้องสูญเสียรายได้ แต่เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลดีในอีกหลายเรื่องตามมา ทั้งการใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับประเทศอย่างมาก และท้ายที่สุดเชื่อว่าเราจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้ที่สูญเสียจากการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว.
ครองขวัญ รอดหมวน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |