6พ.ย.61- ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ เผยองค์ความรู้เรื่องเอชไอวีแตกต่างจากเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างมาก วันนี้เอชไอวีไม่ได้ติดต่อกันง่าย จะติดต่อกันต่อเมื่อมีพฤติกรรมเสี่ยง ดังนั้นคนในต้องเปลี่ยนแนวติด ความไม่รู้และไม่เข้าใจ ทำให้เห็นภาพการละทิ้งผู้ติดเชื้อ
ที่ ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงกรณีเหตุมีการวิพากษ์วิจารย์เรื่องทิ้งผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ข้างกำแพงวัดพระบาทน้ำพุ ว่า เรื่องนี้อยากให้มีการพิจารณาให้ถี่ถ้วน และไม่ควรขยายส่งต่อเหตุดราม่า เพราะว่าการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ซึ่งต้องยอมรับว่าการที่จะทำให้การตีตราหมดไปจากสังคมไทยเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งเกิดจากความไม่รู้และไม่เข้าใจ ทำให้เห็นภาพการละทิ้งผู้ติดเชื้อ ซึ่งต้องเรียนว่าองค์ความรู้เรื่องเอชไอวีแตกต่างจากเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างมาก วันนี้เอชไอวีไม่ได้ติดต่อกันง่าย จะติดต่อกันต่อเมื่อมีพฤติกรรมเสี่ยง คือเพศสัมพันธ์ไม่สวมถุงยางอนามัย ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ส่วนความคิดว่าผู้ป่วยจะเป็นภาระนั้นเรียนว่าถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านไวนัสภายใน 2-4 สัปดาห์ก็จะกลับมามีอาการปกติ สามารถเดินเหินได้ ไปทำงานได้ตามปกติ
นพ.ประพันธ์ กล่าวว่า ส่วนการทิ้งเพราะกลัวว่าจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายนั้น เรียนว่าคนไทยทุกคน ทุกสิทธิไม่ว่าจะเป็นระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม แค่ตรวจเจอเชื้อในร่างกาย ก็สามารถรับยาต้านไวรัสได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รัฐบาลออกให้หมด หากมีคนในครอบครัวติดเชื้อ หรือใครที่มีความเสี่ยงสามารถเข้ามารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ และล่าสุด สำหรับผู้ป่วยบัตรทองที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้ารับยาต้านในรพ.ของรัฐได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนสถานพยาบาลใหม่ ส่วนประกันสังคมอาจจะต้องไปที่รพ.ตามสิทธิอยู่ ขณะนี้อยู่ระหว่างขับเคลื่อนให้ผู้ติดเชื้อในระบบประกันสังคมสามารถเข้ารับยาต้านฯ ในรพ.ในระบบประกันสังคมได้ทุกแห่งเช่นกัน
ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ กล่าวต่อว่า อีกปัญหาหนึ่งที่พบว่าครอบครัวละทิ้งผู้ติดเชื้อเพราะคนมักคิดว่าการติดเชื้อเอชไอวีจะเกิดขึ้นในคนที่มีพฤติกรรมไม่ดี ทั้งคนติดยาเสพติด หรือเรื่องเกี่ยวกับเพศอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นเพียงความคิด ทั้งๆ ที่ในกลุ่มเกย์ กระเทยไม่ใช่เรื่องผิด เขาสามารถทำงานได้ ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศได้ หรือผู้หญิงบางคนอาจจะติดจากสามี ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ผิด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องปรับความคิด ในปัจจุบันหากรับยาต้านไม่มีใครรู้ เหมือนคนทั่วไปและมีอายุไขเฉลี่ยเท่ากับคนปกติ สิ่งสำคัญคือตรวจเร็ว รักษาเร็วจนตรวจเชื้อไม่เจอก็เท่ากับไม่แพร่สู่ผู้อื่น หรือตามแนวทาง U=U ซึ่งเป็นเรื่องที่จะมีการรณรงค์ในวันเอดส์โลก 1 ธ.ค. 2561 ด้วย
“เรื่องการดราม่าที่มีคนนำผู้ติดเชื้อไปทิ้งข้างกำแพงวัด ไม่อยากให้คิดว่าวัดนี้ ดีกว่าที่อื่นหรือทำไมต้องจำเพาะเจาะจงทิ้งที่นี่ เพราะถ้าไม่ใช่ที่นี่แต่เป็นที่อื่น ก็จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล สิ่งสำคัญคือเราต้องปรับมุมมอง ความรู้ว่าเอชไอวีสามารถรักษาได้ด้วยยาต้าน จนทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพและอายุขัยเฉลี่ยเท่ากับคนทั่วไป กินยาต่อเนื่องก็กดเชื้อให้ต่ำจนไม่ถ่ายทอด และต้องบอกว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ ไม่ได้ต้องการความสงสาร แต่ต้องการความเข้าใจจากสังคม กรุณาให้งานเขาทำ เขาไม่ได้ต้องการเงินบริจาค” นพ.ประพันธ์ กล่าว.