“ไทยคม” ปรับโครงสร้างรายได้ครั้งใหญ่ เร่งธุรกิจใหม่ LOOX-บริการแพลตฟอร์มครบวงจร หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ 50% ใน 5 ปี ก่อนระบบสัมปทานหมด ชดเชยกำไรที่สูญไปกับดาวเทียมสถานะไม่ชัดเจน ไทยคม9 ต้องชะงักลูกค้าถอนตัว 

31 ม.ค.61-นายไพบูลย์ ภานุวัฒนวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การให้บริการดาวเทียมไทยคมของบริษัทกำลังจะหมดอายุสัญญาสัมปทานในปี 2564 ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 4 ปีต่อจากนี้ บริษัทจะต้องปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจใหม่เพื่อรองรับภาวะดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่ 70-80% ของบริษัทมาจากการให้บริการดาวเทียมในวงโครจร และเมื่อปี 2560ที่ผ่านมา ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทเทเลคอมและอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นได้ถอนตัวจากการเป็นลูกค้าของไทยคม เนื่องจากรัฐบาลไม่มีความชัดเจนในการให้สถานะดาวเทียมดวงใหม่ว่าจะเป็นสัมปทาน หรือ ใบอนุญาต

ทั้งนี้ ลูกค้ารายนี้เป็นผู้ใช้บริการดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ที่บริษัทรับรู้รายได้จากส่วนนี้ปีละ 1,000 ล้านเยน หรือ ประมาณ 300 ล้านบาท และเป็นลูกค้าที่ได้จองการใช้งานดาวเทียมดวงที่ 9 ไว้ถึง 30% ของบริการทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อบริษัทเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องตัดสินใจปรับโครงสร้างสัดส่วนรายได้ครั้งนี้

สำหรับปี 2561 บริษัทจะเปลี่ยนผ่านจากผู้ให้บริการดาวเทียมเป็นผู้ให้บริการด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสอดรับกับเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาและสนองตอบพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยจะพัฒนาทีมงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านดาวเทียมและบริการแพลตฟอร์มของเอชีย ซึ่งมองว่าการที่บริษัทจะอยู่รอดได้ในระยะยาวทุกคนต้องช่วยกันเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อทุกฝ่ายทั้งบริษัท พาร์ทเนอร์และลูกค้า ซึ่งโจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรในการนำคาพาซิตี้ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดผดดีต่อธุรกิจมากที่สุด ต้องบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีระบบ

อีกทั้ง บริษัทหวังให้หน่วยธุรกิจใหม่ที่เริ่มพัฒนา อาทิ บริการแพลตฟอร์มทีวีออนไลน์ LOOX ที่ตอนนี้มียอดดาวน์โหลดถึง 100,000 ครั้ง คาดว่าเมื่อเกิดการดาวน์โหลดถึง 300,000 ครั้ง จะเริ่มรับรู้รายได้และต่อยอดในการนำข้อมูลไปจัดเรตติ้งต่อยอดธุรกิจได้ ส่วนการเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแบบใหม่กำลังหารือกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้ให้บริการคอนเท้นต์ คาดว่าจะสรุปผลได้เร็วๆ นี้ และสามารถทดลองทดสอบให้บริการได้ช่วงกลางปีนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญเข้ามาเติมเต็มรายได้ที่จะต้องสูญไป โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปี สัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็น 50%