ใบโพธิ์แห่งการไม่ยึดติด


เพิ่มเพื่อน    

มหาเจดีย์พุทธคยา ความสูง 170 ฟุต ฐานอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินที่รายรอบเนื่องจากการทับถมของตะกอนดินตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่รุ่นลุงประจำช่องรับฝากโทรศัพท์ขอทิป 10 รูปี ผมบอกว่าจะให้ตอนกลับมารับ แล้วก็ซื้อตั๋ว 100 รูปีสำหรับนำกล้องถ่ายรูปเข้าไปภายในมหาเจดีย์พุทธคยา ผ่านเครื่องเซ็นเซอร์และตำรวจที่นั่งถือปืนไรเฟิลคอยลูบคลำตามตัวเพื่อตรวจหาสิ่งของต้องห้าม ทว่าด่านที่สองซึ่งอยู่ใกล้ประตูมหาเจดีย์ เครื่องสแกนแบบสายพานพบว่าในเป้ของผมมีคอมพิวเตอร์แท็ปเล็ตอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ก็ตะโกนว่า “แท็ปเล็ตๆๆ” ให้เอาไปฝากตรงหน้าทางเข้า

ผมจึงต้องเดินกลับออกไปฝากที่จุดเดิมพร้อมกับเพาเวอร์แบงค์เพราะได้ยินเสียงประกาศดังด้านหน้ามหาเจดีย์ว่าต้องฝากเพาเวอร์แบงค์ด้วย แต่แปลกใจที่ด้านหน้าทางเข้าระบุให้ฝากเฉพาะโทรศัพท์เท่านั้น ที่เหลือก็เขียนราคาตั๋วสำหรับกล้องถ่ายรูป 100 รูปี กล้องวิดีโอ 300 รูปี และกล้องถ่ายหนัง500 รูปี   

เมื่อเข้าไปได้ผมก็จับจองนั่งด้านซ้ายของต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของมหาเจดีย์แค่ประมาณ 2 เมตร มีการล้อมรั้วหินไว้ที่โคนต้น รวมถึงพระแท่นวัชรอาสน์ จุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไกด์ท้องถิ่นวัยประมาณ 50 ปีซึ่งมากับนักท่องเที่ยวหนุ่มชาวจีนเข้ามาตีซี้ คุยกันสักพักผมหลับตาทำสมาธิเขาจึงเดินออกไปหาคนอื่นที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แต่ดูแล้วไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ เพราะมีแต่คนต้องการสวดมนต์และนั่งสมาธิ

ตอนที่ผมจะเดินเข้าไปไหว้พระพุทธเมตตา ปางมารวิชัย ภายในพระเจดีย์ ไกด์คนเดิมเดินรี่เข้ามาหาผมอีกครั้ง เสนอทัวร์ต่างๆ โดยทัวร์นาลันทา-ราชคฤห์ ราคาอยู่ที่ 2,700 รูปี ผมถามว่าถ้าผมหาคนร่วมทริปไปด้วยอีกคนจะคิดเท่าไหร่ แกขอ 3,000 รูปี หรือประมาณ 1,500 บาท ก็ไม่แพงนักหากเทียบกับระยะทางไป-กลับราว 200 กิโลเมตร และไกด์ซึ่งเป็นคนเดียวกับคนขับรถต้องอยู่กับเราทั้งวัน

กำแพงหินล้อมต้นพระศรีมหาโพธิ์ไว้

จากนั้นแกก็ให้นามบัตร ระบุชื่อ “อโศก” แล้วขอไลน์ ขออีเมล ขอเบอร์โทรศัพท์ของผมที่เมืองไทยไปด้วย ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่สังเกตหลายครั้งแล้วว่าคนอินเดียชอบขอสิ่งเหล่านี้แม้ว่าเพิ่งเจอกันก็ตาม

ผมถามว่าเด็กวัยรุ่นพวกที่ชอบชวนดื่มน้ำชาเป็นคนประเภทไหน

“เด็กพวกนี้ไม่ดี เล่นยาบ้าง อนาจารหญิงบ้าง อย่าไปเชื่อ ต้องไกด์อาชีพอย่างผมนี่ เพราะผมมีลูกเมีย ผมต้องกินต้องใช้ต้องรับผิดชอบ ไม่หลอกลวง เพราะถ้าผมหลอกลวงนักท่องเที่ยวผมจะอยู่ไม่ได้” บังอโศกตอบ

แกถามคาดคั้นว่าจะไปนาลันทา-ราชคฤห์กับแกจริงไหม ผมบอกว่ากลับจากเนปาลแล้วผมจะโทรหาเพราะผมตั้งใจจะย้อนกลับมาเส้นทางนี้อยู่แล้ว  

การเดินทางมาครั้งนี้ของผมนอกจากมากราบสักการะแล้วก็ตั้งใจจะเก็บใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปฝากพ่ออีกด้วย ซึ่งต้นปัจจุบันเป็นต้นที่ 4ปลูกโดย “เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม” นักโบราณคดีชาวอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2423 ทว่าใบโพธิ์ที่มั่นหมายเสร็จพระสงฆ์หมด และดูแล้วเกือบทั้งหมดเป็นพระสงฆ์จากประเทศไทย บางรูปเดินจงกรมอยู่ไปมา ใบโพธิ์ตกในรัศมีของท่าน ท่านก็เก็บใส่ย่ามที่วางไว้ใกล้ๆ ที่ตกห่างออกไปก็มีพระสงฆ์ท่านอื่นเตรียมพร้อมอยู่แล้ว นี่ยังไม่นับผู้ที่ไม่ใช่นักบวชที่จ้องโฉบเข้าไปไขว่คว้าอยู่อีกหลายคน  

ภาพที่เห็นภายในคือพระแท่นวัชรอาสน์ ตำแหน่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เมื่อ 2,606 ปีก่อน

ผมคอยอยู่นานก็ไม่มีวี่แววแห่งวาสนาว่าจะได้กับเขาสักใบ คิดว่าจะเก็บจากต้นอื่นแล้วให้ชื่อว่าเป็นใบโพธิ์แห่งการไม่ยึดติด ทันใดนั้นก็มีใบหนึ่งร่วงลงมาไม่ห่างจากตัวผม ขณะเดินออกไปเก็บก็มีพระสงฆ์ไทยเดินเข้ามาพอดี แต่ผมใกล้กว่าจึงเก็บขึ้นมาได้ก่อน พิจารณาแล้วกล่าวกับหลวงพี่รูปนั้นว่า “ผมขอนะครับ” ท่านก็ยิ้มๆ

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็ดูไม่ออกว่าใบโพธิ์ใบนี้มาจากต้นไหนกันแน่ เพราะเป็นเขตติดต่อกันระหว่างกิ้งก้านของต้นพระศรีมหาโพธิ์กับต้นโพธิ์อีกต้น แต่เมื่อคิดถึงคำว่า “ใบโพธิ์แห่งการไม่ยึดติด” ก็สบายใจขึ้น แล้วเดินไปเก็บใบโพธิ์จากใต้ต้นอื่นๆ อีกหลายใบ ว่าจะนำไปฝากพรรคพวกที่เมืองไทย ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะเต็มใจรับใบโพธิ์แห่งการไม่ยึดติดหรือไม่ (ฮา)  

ตอนกลับออกไปรับโทรศัพท์และแท็ปเล็ตผมก็ให้ทิป 10 รูปีแก่ลุงเจ้าหน้าที่ตามสัญญาแล้วเดินหน้าไปยังวัดไทยพุทธคยา ก่อนจะต่อไปที่พระพุทธรูปองค์โต “ไดบุตสึ” ปางสมาธิ โดยมีต้นแบบจากไดบุตสึที่วัดโคโตกุแห่งเมืองคามากุระ ประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดยหินทรายและหินแกรนิตแดง ความสูงรวม 80 ฟุต ล้อมรอบด้วยรูปปั้นอัครสาวก 10 องค์ ใช้เวลา 7 ปีจึงแล้วเสร็จ ดาไลลามะองค์ปัจจุบันเป็นประธานในพิธีเปิดเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2532ตามที่ผมได้กล่าวถึงไปเล็กน้อยเมื่อฉบับที่แล้ว มีชาวฮินดูจากบังคลาเทศเดินทางมาสักการะเป็นหมู่คณะจำนวนมาก เพราะพวกเขาถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ   

พระพุทธเมตตา ปางมารวิชัย ภายในเจดีย์ชั้นล่าง ส่วนชั้นบนประดิษฐานพระพุทธเมตตา ปางประทานพร (ปางยืน)

จากนั้นก็เดินกลับ หลังจากสลัดออกจากกลุ่มคนผู้ชวนดื่มชามาได้ ผมแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อน้ำดื่ม ลุงเจ้าของร้านพยายามไล่เด็กหญิง 2 คนที่เข้ามาขอเงิน แต่พวกเธอก็แค่เดินออกไปหน้าร้าน ผมจ่ายเงินค่าน้ำเสร็จพวกเธอเข้ามาเรียก “อาจารย์ อาจารย์” แล้วชี้ไปที่รถเข็น จึงให้เงินที่เตรียมไว้แล้วไป 10 รูปี เธอทั้งสองก็สั่งขนมกินจริงๆ ไม่ได้วิ่งหนีไปแบบเด็กบางกลุ่ม

ใกล้จะพ้นโซนอันตรายจากพวกหากินกับนักท่องเที่ยวอยู่แล้วเชียว หนุ่มหน้าตี๋หุ่นตุ้ยนุ้ยเดินเข้ามาดักหน้าพร้อมประโยคภาษาอังกฤษที่พรั่งพรูไฟแลบออกจากปาก

“ผมเป็นชาวพุทธมาจากเนปาล ผมมีเกสต์เฮาส์อยู่ไม่ไกล อยากให้คุณไปพัก ผมมีโรงเรียน อยากให้คุณช่วยเหลือทำบุญ คุณชอบบ็อบ มาร์เลย์ไหม ที่เกสต์เฮาส์ผมเปิดเพลงของเขาและมีกัญชาอย่างดีให้คุณสูบ หรือคุณจะบริจาคให้หมู่บ้านคนยากจนก็ได้ ผมจะนำไปมอบให้ ผมไม่โกหกคุณ”

เขาพูดพร้อมกับโชว์รูปในโทรศัพท์มือถือ ทั้งรูปเกสต์เฮาส์ รูปฝรั่งที่เข้าพัก รูปนักเรียนนั่งเรียนในห้อง รูปที่เขากับฝรั่งมอบสิ่งของให้กับชาวบ้าน รวมทั้งรูปฝรั่งสูบกัญชา ก่อนจะย้ำว่า “ผมไม่โกหก ดูตาผมคุณก็รู้”

ในดวงตาเล็กเรียวภายใต้ใบหน้ากลมๆ นั้น ผมไม่เห็นทั้งคำโกหกและสัจวาจา ทว่าเจือด้วยฤทธิ์กัญชาอย่างไม่ต้องสงสัย

เสาหินของกำแพงมหาเจดีย์ต้นดั้งเดิม สลักอักษรบาลี ตามความเข้าใจของผู้เขียนปัจจุบันเหลืออยู่ 6 ต้น

“คุณจะบริจาคให้ผมสองร้อยก็ได้ สามร้อยก็ได้ ห้าร้อยก็ได้” เขาวัดใจ เพราะตอนนี้คงรู้แล้วว่าผมกำลังชั่งใจว่าจะล้วงให้เขาเท่าไหร่

ค่ารำคาญที่ผมจ่ายไปคือ 100 รูปี เพราะไม่มีธนบัตรค่าต่ำกว่านั้น เขารับแล้วก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผมเพิ่งเห็นตอนนี้ว่าเขาแต่งตัวได้พิลึกนัก ใส่เสื้อยืดสีขาวไว้ในกางเกงสแล็คซักรีดอย่างดีสีเดียวกัน สวมรองเท้าแตะหนีบสีดำ

การจู่โจมด้วยใบหน้าตี๋ชาวเขาของหมอนี่ทรงพลังกว่าการชวนดื่มชาของวัยรุ่นท้องถิ่นเป็นไหนๆ เพราะพวกชวนดื่มชาไม่เคยได้อะไรไปจากผมแม้แต่นิดเดียวทั้งที่พยายามอย่างหนัก เดินตามตื๊อทุกครั้งที่เห็น บางครั้งหลายร้อยเมตร เปลืองทั้งแรงเดินและน้ำลาย

เป็นไปได้ว่าหนุ่มหน้าตี๋ใช้คำที่เป็นหมัดฮุคตั้งแต่เริ่มเปิดฉาก “ผมเป็นชาวพุทธจากเนปาล” ผมว่าคำนี้คือมนต์คาถาที่ได้ผลชะงัดนัก เพราะคำว่าเนปาลให้ความรู้สึกไม่น่ากลัวเหมือนคำว่าอินเดีย  

ต้นพระศรีมหาโพธิ์มองจากนอกกำแพงมหาเจดีย์ มีเสาค้ำรับกิ่งที่โน้มหนักยิ่งขึ้นทุกวัน

เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมาผมได้ย้ายไปพักที่ Gauri Guest House ซึ่งเคยพักเมื่อ 2 ปีก่อน เจ้าของหนุ่มชื่อ “พินทุ” จำผมได้ ให้ราคา 500 รูปีเท่าเดิม แต่ห้องใหญ่กว่าเดิม มีเครื่องปรับอากาศ ห้องน้ำพัฒนาขึ้นและเครื่องทำน้ำอุ่นที่อุ่นที่ครั้งเมื่อเปิดก๊อก แถมด้วยวิวยอดแหลมของมหาเจดีย์พุทธคยาที่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร

ผมให้คำตอบกับชายหนุ่มลูกเจ้าของ Beauty Guest House ที่พักเดิมที่ผมแบกกระเป๋าออกมาห่างกันไม่เกิน 80 เมตรถึงเหตุผลการย้ายว่าห้องพักของเขาเต็มไปด้วยฝุ่น ทำให้ผมมีน้ำมูกและจามทั้งคืนกว่าจะหลับลงได้ก็เกือบเช้า พอตื่นขึ้นมาก็ป่วยเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่ใช้ความผิดของสถานที่ ผมเองเป็นฝ่ายผิดเพราะมีร่างกายอ่อนแอ เขาเสนอให้ย้ายไปห้องใหม่ ผมบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่เขียนรีวิวลงในเว็บไซต์รับจองแน่นอน และผมยังสนใจทัวร์นาลันทา-ราชคฤห์ของเขาอยู่

เนื่องจากอาหารที่เค็มมากจากเย็นวานจนต้องดื่มน้ำตามไปเกือบ 2 ลิตรก็ยังไม่หายเค็ม แถมไม่ปวดฉี่อีกต่างหาก นอกจากจะมีไข้แล้วผมยังท้องอืดอย่างหนักอีกด้วย และค่อยๆ ตามมาด้วยอาการท้องเสียอ่อนๆ

ยอดของพระมหาเจดีย์

วันต่อมาผมเดินไปยังมหาเจดีย์พุทธคยาตั้งแต่ 6 โมงนิดๆ เพราะยามเช้าตรู่อากาศดีมาก และคิดว่าคณะผู้ต้มตุ๋นทั้งปวงยังไม่ตื่น นอกจากไหว้พระสวดมนต์แล้วความคิดที่จะเก็บใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็กลับมาอีก แต่ความหวังริบหรี่รำไรมากกว่าเดิม เวลาเช้าอย่างนี้การจราจรในพื้นที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์คับคั่งไปด้วยพระสงฆ์เดินจงกรม เช่นเดียวกับเช้าวันต่อมาที่สถานการณ์ไม่ต่างกัน จึงได้แต่พยายามทำจิตให้ผ่องใส นั่งมองความเป็นไป และสูดอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายยามเช้า

อันที่จริงผมได้รับใบโพธิ์แล้วจากหลวงพี่รูปหนึ่งตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงพุทธคยา ขณะนั่งกินมื้อเย็นที่ร้านอัฏฐากุศลา ท่านบวชมาแล้วยี่สิบกว่าพรรษา ช่วงหลังๆ จะเดินทางมาจำพรรษาที่พุทธคยาเกือบทุกปี โดยพักที่เกสต์เฮาส์ของร้านอาหารแห่งนี้เป็นประจำจนคุณตะวันสตรีชาวพม่าผู้เป็นเจ้าของให้พักฟรีแต่ท่านต้องการจ่ายเงิน สุดท้ายคุณตะวันก็ยอมให้ท่านจ่ายคืนละ 100 รูปี เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ทุกเช้าท่านก็จะไปทำวัตรบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์

หลวงพี่ให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องพัก ท่านมีใบโพธิ์อยู่เกือบ 10 ใบ ล้วนเคลือบด้วยพลาสติกใส เห็นหลายใบสียังเขียวอยู่ บอกว่าจะ “ให้” เป็นของที่ระลึก ไม่ต้องจ่ายเงิน ผมก็ยังจะขอทำบุญ ท่านจึงกางหนังสือสวดมนต์รับไว้ เฉลยทีหลังว่าท่านตกใจเหมือนกันที่ผมล้วงเงินออกมา แต่พอเห็นว่าเป็นเงินแค่ 100 รูปี ซึ่งไม่ได้มากมายอะไร ท่านจึงกล้ารับ

มหาเจดีย์พุทธคยามองจากที่พักของผู้เขียน

ท่านยังเล่าเรื่องเคยถูกบริษัททัวร์แสวงบุญสังเวชนียสถานเจ้าหนึ่งเชิญไปบรรยายพุทธประวัติให้กับลูกทัวร์ จบวันทางบริษัทก็ถวาย 1,000 บาท ท่านรับและกลับไปคิดใคร่ครวญ ถ้ารับอีกก็จะยิ่งเกิดกิเลศ รับทุกวันเท่ากับเดือนละ 30,000 บาท นี่เป็นอาชีพที่สร้างรายได้แล้วหละ พระไม่ควรมีรายได้ หลังจากนั้นท่านก็ไม่ร่วมทัวร์แสวงบุญอีก

ครั้งหนึ่งได้สนทนากับชายหนุ่มผู้หนึ่งจนชายผู้นี้เกิดศรัทธาท่าน ก่อนที่เขาจะบอกชื่อเสียงเรียงนามและให้นามบัตรจึงทราบว่าเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย หลังชายผู้นั้นจากไปท่านก็โยนนามบัตรทิ้ง เพราะท่านกลัวว่าวันหนึ่งจะโทรหาเขาด้วยเหตุผลที่เขาเป็นคนมีเงิน

เช้าวันที่จะเดินทางออกจากพุทธคยา ผมได้เจอท่านอีกครั้ง ท่านมอบยาหม่องตราลิงถือลูกท้อให้ 2 ตลับ และยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัวอีก 1ซอง

“เอาไว้ให้คนที่ช่วยเหลือเราระหว่างการเดินทาง เขาได้รับแล้วจะดีใจมาก โดยเฉพาะยาหม่อง” หลวงพี่กำชับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"