(วิวสวยระหว่างทางไปภูสวรรค์)
ปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ ถ้าเดินทางไปดูภูเขา ธรรมชาติ ก็เข้าท่าไม่น้อย เมื่อเร็วๆ นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พามาเที่ยวในธีมแบบ เหนือฝัน...วันธรรมดา กับนครชากังราว ที่จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเหนือตอนล่างที่ไม่ไกลกรุงเทพฯ นั่งรถราว 5 ชั่วโมงก็ถึง
(เครื่องประดับทำมาจากดีบุก)
จุดหมายแรกเรามาที่บ้านดีบุกกำแพงเพชร อำเภอขาณุวรลักษบุรี มีชื่อเสียงและฝีมือการผลิตเครื่องประดับ ของตกแต่ง หรืออื่นๆ ที่ทำมาจากดีบุก ผลงานทุกชิ้นล้วนผ่านการออกแบบจากพี่ชา หรือนายบัญชา เมฆปรีดาวงศ์ ผู้ออกแบบและประยุกต์ลวดลายของดีบุกที่มีเอกลักษณ์และร่วมสมัยมามากกว่า 10 ปี ซึ่งเล่าว่าดีบุกของที่นี่ส่งตรงมาจากภูเก็ต เพราะข้อดีของดีบุกคือไม่ดำ แต่จะมีน้ำหนักกว่าเงิน ลวดลายที่นิยมมากก็จะเป็นลายพญานาค
(บะหมี่สูตรอร่อย 120 ปี)
มื้อกลางวันแวะไปอิ่มกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแป๊ะอี่ บะหมี่ทำเอง สูตรลับความอร่อยของเส้นบะหมี่ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษกว่า 120 ปี พร้อมกับเมนูข้าวหน้าเป็ดย่างก็เด็ดไม่แพ้บะหมี่
(พระแก้วไหมทอง)
หลังอิ่มท้อง เราเดินทางไปกันต่อที่วัดทุ่งสนุ่นรัตนาราม อำเภอบึงสามัคคี วัดแห่งนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางของคนอีสาน เพื่อปฏิบัติตามประเพณี วัฒนธรรม ในเทศกาลสำคัญๆ ของอีสาน ในวันที่ทางคณะเราได้เดินทางไป เจ้าอาวาสก็ได้เมตตาอัญเชิญพระแก้วไหมทอง องค์พระที่แกะสลักจากหินไหมทองจากประเทศเมียนมา ทั้งองค์ขนาด 2.7 นิ้ว ทรงเครื่องประดับตามแบบพระแก้วขาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นการออกแบบที่ผสมผสานศิลปะสมัยล้านนาและสมัยรัตนโกสินทร์ พิเศษคือมีแสงไฟสะท้อนองค์พระ จะเห็นไหมทองที่ละเอียดเต็มองค์ทีเดียว ทำให้เจ้าอาวาสต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่ได้เปิดให้เข้าสักการะหรือขอชมได้ จะอัญเชิญออกมาเฉพาะเทศกาลสำคัญ อาทิ วันสงกรานต์
(วัดช้างรอบ รวบรวมศิลปะที่หลากหลาย)
ออกจากวัดมาที่ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ที่มาเป็นครั้งแรก ที่นี่ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตสมัยที่วัดวาอารามกว่า 40 วัดตั้งอยู่ภายในอุทยานกว่า 1,600 ไร่ ปัจจุบันก็ยังคงเด่นตระหง่านสวยงาม แม้จะเหลือไว้เพียงเค้าโครง หรือซากปรักหักพังของอิฐปูนที่ใช้ก่อสร้างวัด การเที่ยวชมได้อาศัยรถรางในอุทยานที่วิ่งไปตามถนนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ผ่านวัดแรก วัดอาวาสใหญ่ ที่มีร่องรอยของสุขาที่ใช้ในอดีตของพระสงฆ์ที่ทำจากหินอย่างเรียบง่าย ไม่ไกลกันนักก็มาถึงวัดที่เป็นเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของที่นี่ คือ วัดช้างรอบ โดดเด่นด้วยศิลปะการก่อสร้างทั้งจากเขมร สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และล้านนา มีเจดีย์ทรงระฆังเป็นสิ่งสำคัญของวัด แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าเรา ยอดเจดีย์ได้หักและพังลงหมดแล้ว ตัวฐานเป็นช้างครึ่งตัวล้อมรอบ 68 เชือก หากใครจะขึ้นไปชมเจดีย์ด้านบนขอแนะนำเลยว่าต้องขึ้นแบบเบี่ยงตัวเล็กน้อย ขึ้นตรงแบบก้าวบันไดปกติอาจจะร่วงลงมาได้ เพราะบันไดที่วัดชันและเล็ก อีกทั้งยังผุกร่อนไปตามกาลเวลา
(ร่องรอยความศรัทธา วัดพระแก้ว)
ตามเส้นทางชมวัดต่างๆ ไม่ต้องกลัวสับสน เพราะมีป้ายบอกชื่อวัดนั้นๆ กำกับอยู่ วัดถัดมาคือวัดพระสี่อิริยาบถ ที่ประดิษฐานพระพุทธในอิริยาบถนั่ง นอน ยืน เดินไว้ทั้ง 4 ด้าน แต่ที่เราได้ชมมีเพียงด้านที่เป็นองค์พระยืน มีพระพักตร์ในลักษณะศิลปะของสุโขทัย ไปต่อกันที่วัดพระแก้ว สีเขียวของหญ้าตัดกับสีอิฐเก่าๆ ให้ความรู้สึกถึงความศรัทธาต่อพุทธศาสนา เมื่อได้เห็นพระพุทธรูปปูนปั้นสามองค์ในท่านั่งสมาธิ และนอนท่ามกลางซากของเสา กำแพงที่พังทลายลง ในบริเวณเดียวกันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุ จุดเด่นอยู่ที่องค์เจดีย์แบบของกำแพงเพชร ด้วยเวลาที่จำกัดเราจึงได้ชมเพียงเท่านี้ ทำให้ได้คิดว่า แม้ทุกอย่างจะไม่เหมือนในอดีตแต่เราก็ยังพอได้จินตนาการว่าอุทยานแห่งนี้เคยมีวัดที่ล้ำค่าอยู่มากมาย
(สูดโอโซนให้เต็มปอดที่ภูสวรรค์)
เช้าวันต่อมา ออกเดินทางไปพิชิตภูสวรรค์ที่อุทยานแห่งชาติแม่วงศ์ จากช่องเย็นขึ้นไปภูสวรรค์ระยะทางประมาณ 300 เมตร ดูเหมือนจะไม่ไกลมาก แต่ในความจริงแล้วด้วยเส้นทางเดินขึ้นมีบันไดทำเอาไว้ให้เดินสะดวกขึ้น แต่ก็ชัน และทำให้หอบได้เหมือนกัน แต่ก็คุ้มกับวิว 360 องศาที่มีแต่ทิวเขาสีขาว หมอกบางๆ มากางแขนรับลมเย็นๆ แบบนี้เราได้ขับรถย้อนลงมาที่อุทยานแห่งชาติคลองลาน ที่มีน้ำตกคลองลานสูง 95 เมตร
(สวดมนต์ตอนเย็น ที่วัดพระบรมธาตุนครชุม)
มาเมืองกำแพงเพชรก็ต้องมาสักการะพระบรมธาตุเจดีย์คู่เมืองกำแพงเพชรที่วัดพระบรมธาตุนครชุม ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยเป็นเมืองนครชุมมากกว่า 600 ปี ซึ่งในทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็นก็จะมีชาวบ้านหรือผู้ที่ศรัทธาสวมชุดขาวเดินทางมาร่วมสวดมนต์ที่วัดทั้งคนแก่ วัยรุ่น เด็กเล็ก ภายในวัดก็จะมีพระบรมสารีริกธาตุให้สักการะ ด้านหลังก็จะเป็นลานกว้างมีรูปปั้นพระยาลิไทที่ชาวบ้านให้ความเคารพ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วย
(เดินเล่นหาของอร่อยทาน ตลาดย้อนยุคนครชุม)
ตกเย็นเราก็มาเดินเล่นที่ตลาดย้อนยุคนครชุม บนถนนศรีรัตน์ยาวไปจนถึงชุมชนศาลเจ้าพ่อเสือ ระยะทางกว่า 800 เมตร ที่จะเปิดเฉพาะวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์แรกของเดือน ตลาดแห่งนี้ในอดีตคือย่านค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้ซบเซาลงไป จนกระทั่งได้มีการปลุกย่านค้าขายให้กลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2554 มาที่นี่ได้กลิ่นอายอดีตจากสภาพบ้านเรือนผู้คนที่ยังคงสภาพเดิม มีอาหารและขนมพื้นบ้านวางขาย ท้ายตลาดก็จะมีเวทีการแสดง สร้างความสนุกสนานครึกครื้นให้ตลาดแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา
(อุโบสถศิลลาแลงทั้งหลัง)
วันสุดท้ายที่กำแพงเพชรเราได้ไปที่วัดหนองปลิง ชมโบสถ์ที่สร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง ซึ่งได้เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการสร้างอยู่ เพื่อสะท้อนความหมายของคำขวัญจังหวัดกำแพงเพชร ในประโยคที่ว่า ศิลาแลงใหญ่ อีกทั้งยังเป็นวัดแห่งแรกที่มีโบสถ์เป็นศิลาแลงด้วย
(กระยาสารท หอม หวาน อร่อย ป้าใหญ่ชากังราว)
จุดหมายสุดท้ายเราได้เดินทางมายังถิ่นทำกระยาสารท ขนมเลื่องชื่อกำแพงเพชรของป้าสันทนา พูลเหลือ หรือชื่อที่รู้จักกันคือ กระยาสารทป้าใหญ่ชากังราว ที่ทำมากว่า 40 ปี มีขายเฉพาะที่บ้าน ราคาอยู่ที่ 35 บาท 3 ถุง 100 บาท ขายราคาถูกแต่รสชาติไม่ธรรมดา ป้าสันทนาได้บอกสูตรลับมาว่า นำน้ำผึ้งผสมนมสดลงไปเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้นด้วย นอกกจากนี้ก็ยังมีข้าวหลามอร่อยมากๆ ขายด้วยนะ หอบกระยาสารทกลับบ้านกันคนละถุงสองถุงก็กลับกรุงเทพฯ ได้แบบสบายใจแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |