เรื่องหมูๆ อย่าคิดว่าเป็นหมู


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                        (1)
    เห็นภาพ ส.ค.ส.พระราชทาน 2562 ของ สมเด็จพระเทพฯ...แล้วอดฉุกใจขึ้นมาไม่ได้ ว่าเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน กี่เดือนแล้ว ก็จะถึงวาระ ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ กันอีกรอบ อะไรมันจะเร็วปรื๊ด เร็วปรื๋อ ไปได้ถึงเพียงนั้น สำหรับวัน-เวลา-นาทีที่ติดปีกบิน ติดเทอร์โบ ล่วงเลยกันชนิดเล่นเอา คนแก่ แทบใจหาย...
                                                       (2)
    เรียกว่า...พล็อบๆ แพล็บๆ ก็แก่เพิ่มขึ้นไปอีก 1 ปี ใกล้ตายขึ้นไปอีก 1 ปี ช่วงเวลาที่เหลือๆ ยิ่งสั้นลงๆ จนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรที่อยากทำ หรือที่ควรจะทำ กันในช่วงไหน ระหว่างไหนกันดี เพราะอย่างว่านั่นแหละ...ความหนุ่ม-ความแก่ กับเรื่องของวัน เวลานั้น มันมี ปฏิสัมพัทธ์ ระหว่างกันและกันอย่างมิอาจแยกขาดออกจากกันได้ คือด้วย ความหนุ่ม นั้น...อาจส่งผลให้วันเวลาค่อนข้างช้าลงๆ ไปตามความรู้สึกนึกคิด ส่วน ความแก่ กลับทำให้วันเวลาเป็นอะไรที่เร็วขึ้นๆ แม้ว่าโดยตัวตนของวันเวลามันจะเป็นไปตามแบบฉบับของมัน ไม่ได้เร็ว ไม่ได้ช้า แต่ก็ด้วย ความรู้สึก ของผู้ที่เข้าไปกระทำปฏิกิริยากับมันนั่นเอง เลยทำให้ความเร็ว-ความช้า มันจึงปรากฏขึ้นมาจนได้...
                                                       (3)
    พูดง่ายๆ ก็คือ...ด้วยเหตุเพราะการ ปรุงแต่ง หรือการที่ต้องเข้าไป Concoct กับมันนั่นเอง ความเร็ว-ความช้า หรือแม้กระทั่งความชอบ-ไม่ชอบ ความสบายเนื้อ สบายตัว ไม่สบายเนื้อ สบายตัว ไม่สบายกาย สบายใจ ฯลฯ มันจึงทยอยปรากฏตามมาอย่างเป็นระลอกคลื่น ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่าง มันต่างก็เป็นไปตามแบบฉบับของตัวมันเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นพรรค์นั้นแหละ อะไรประมาณนั้น หรือเป็นตามกฎเกณฑ์ ตาม กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ อันว่าด้วย...ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป หรือกฎที่ถูกนำมาเรียกขานกันในนาม อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท นั่นแล...
                                                        (4)
    แต่ก็ด้วยเหตุที่น้อยคน หรือแทบไม่กี่คน ตลอดทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้...ที่จะสามารถบำเพ็ญ ตบะ บารมี นั่งพิจารณาลมหายใจเข้า-หายใจออก จนสามารถ บรรลุปัญญาญาณ ถึงขั้นเกิดศักยภาพในการควบคุม อารมณ์ความรู้สึก ของตัวเอง ไม่ให้เข้าไป ปรุงแต่ง หรือไป Concoct กับอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายๆ ยิ่งโดยเฉพาะ อันตัวข้าพเจ้าเอง ยิ่งแล้วใหญ่ คือแค่ ยุบหนอ-พองหนอ ไม่กี่ที ก็หงายหลังสิ้นสติสมประดีเอาง่ายๆ ด้วยเหตุนี้...ความรู้สึกถึงความเร็ว-ความช้า ความชอบ-ไม่ชอบ ความไม่สบายเนื้อ สบายตัว ความไม่สบายกาย สบายใจ ฯลฯ มันจึงย่อมโถมทับ ประเดประดัง เข้ามาหา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
                                                          (5)
    โดยเฉพาะเมื่อช่วงจังหวะของวัน-เวลาระหว่างนี้ หรือในอนาคตเบื้องหน้าอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล มันยังน่าจะอยู่ในช่วงที่ กงล้อแห่งกาลเวลา กำลัง หมุนลงๆ ตามหลักคิดทางศาสนา ไม่ว่าศาสนาเชน พุทธ คริสต์ ฮินดู อิสลาม ฯลฯ หรือศาสนาใดๆ ก็แล้วแต่ ที่ต่างก็เคยกล่าวอ้าง กล่าวพาดพิง ถึงช่วงจังหวะที่เรียกว่า กลียุค, วันสิ้นยุค หรือ วันพิพากษา ฯลฯ อะไรทำนองนั้น ความรู้สึกไม่สบายเนื้อ สบายตัว ไม่สบายกาย สบายใจ มันจึงท่วมถมขึ้นมาในระดับแทบล้นคอหลอยย์ย์ย์เอาเลยก็ว่าได้ ก่อให้เกิดความกลัดกลุ้ม ความวิตก กังวล ถึงสิ่งที่กำลังจะอุบัติขึ้นมาในเบื้องหน้า ไม่ว่าจะอยู่ในรูปการเมือง เศรษฐกิจ หรือวิถีชีวิตทางสังคมก็แล้วแต่...
                                                        (6)
    ด้วยเหตุนี้นี่เอง...สิ่งที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่ง สมเด็จพระเทพฯ ท่านได้ชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า จึงเป็นอะไรที่สำคัญเอามากๆ ไม่ว่าสำหรับปัจเจกบุคคล สังคม หรือแม้แต่ประเทศทั้งประเทศก็ตาม และ ปัญญา ที่ว่า...คงไม่ใช่แค่ระดับ ปัญญา-เรณู แบบชนิดบทเรียน ตำราเรียน ของเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ป.2 ในยุคพระเจ้าเหายังคงใส่กางเกงหูรูดเท่านั้น แต่อาจต้องอาศัยปัญญา ระดับ Intelligence ไม่ใช่แค่ระดับ Knowledge เฉยๆ หรือไม่ใช่แค่ระดับ สุตมยปัญญา เพียงอย่างเดียว อาจต้องไปไกลถึงขั้น จินตามยปัญญา หรือ ภาวนามยปัญญา โน่นเลย ถึงพอช่วยให้เกิดความ ยั่งยืน ไม่ว่าตัวตนของตน ต่อสังคม หรือประเทศชาติได้บ้าง... 
                                                        (7)
    พูดง่ายๆ ว่า...ต้องเป็นปัญญาระดับที่ เมื่อมี อารมณ์ ใดๆ เข้ามากระทบ หรือเข้ามา ปรุงแต่ง มันจะเกิดการ ระลึกได้ หรือเกิด สติ ขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติ และโดย สติ นั่นเอง ที่จะนำเอา ปัญญา มายืนคุมเชิง มาคอยเพ่งพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบต่ออารมณ์และความรู้สึก หรือถ้าเรียกกันตามคำพระ คำเจ้า ก็คือเกิด สติ ที่ดำเนินควบคู่ไปกับ สัมปชัญญะ นั่นเอง การกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง มันจึงจะเป็นไปได้ในแบบ ตลอดเรื่อง-ตลอดราว ไม่วูบไหวไป-มา ไม่ชักเข้า-ชักออก ไม่วูบๆ-วาบๆ และนั่นเองที่จะนำมาซึ่งความ ยั่งยืน ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง...
                          ---------------------------------------------------------------
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"