ฟื้นปชต.ม็อบใกล้วัง ตร.อ้างเหตุจับ7แกนนำ/ประยุทธ์รับขึ้นปี4มีจุดอ่อน


เพิ่มเพื่อน    

คสช.แจ้งจับ "รังสิมันต์" พร้อมพวกรวม 7 คนชุมนุมลานสกายวอล์กฝ่าฝืนคำสั่ง "ศรีวราห์" ชี้อยู่ใกล้เขตพระราชฐาน เล็งเอาผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ อีกข้อหา  "ประวิตร" ลั่นต้องยึดตาม กม. สร้างความสงบเรียบร้อย "จ่านิว" หยันไร้น้ำยาดำเนินคดี "บิ๊กตู่" โอดทำงานขึ้นปี 4 ต้องมีจุดอ่อน ระบุทำงานมากเรื่องต้องมาก ฟุ้งแก้ปัญหาให้ ปชช.ได้กว่า 90% ย้ำยังเดินหน้าตามโรดแมป "ปชป." จับโกหกนายกฯ ยื้อเลือกตั้ง
    เมื่อวันอังคาร พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รับคำสั่งจากทางผู้บังคับบัญชา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงศ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ซึ่งจัดกิจกรรมระดมพลคนอยากเลือกตั้งต่อต้าน คสช.สืบทอดอำนาจ ที่ชุมนุมเคลื่อนไหวบริเวณสกายวอล์ก ประกอบด้วย 1.นายรังสิมันต์ โรม 2.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ 3.น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา 4.นายอานนท์ นำภา 5.นายเอกชัย หงส์กังวาน 6.นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ และ 7.นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล 
    บันทึกแจ้งความตอนหนึ่งระบุว่า กลุ่มดังกล่าวออกมาเคลื่อนไหวระหว่างวันที่ 25 ม.ค. เวลา 21.00 น. และวันที่ 27 ม.ค. เวลา 19.00 น. ที่บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน ลงสมุดคดีอาญาที่ 121 /61 ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ 1 เม.ย.2558 ข้อ 12 และการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจาหนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช้เป็นการกระทำ ภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต 1.เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย 2.เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้าง กระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ 3.เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในคำบรรยายแจ้งความได้ลงบันทึกรายละเอียดผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คน ว่ามีพฤติกรรมในการกระทำอย่างไรในวันที่นัดรวมตัวเคลื่อนไหวกัน โดยก่อนหน้านี้ได้โพสต์เฟซบุ๊กข้อความ อาทิ การโพสต์เชิญชวนให้กลุ่มของตนเองและประชาชนที่มีแนวความคิดเหมือนกันมาเข้าร่วม ทำกิจกรรมชุมนุมต่อต้าน คสช.
    แหล่งข่าวจาก คสช.ระบุว่า การแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้ เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง ซึ่งผู้ที่เป็นแกนนำต้องรับผิดชอบ เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่ากฎหมายกำหนดว่าอย่างไร แต่จงใจในการละเมิดกฎหมาย ออกมาปลุกปั่นยั่วยุให้มีความเกลียดชัง
    "การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด" แหล่งข่าวจาก คสช.ระบุ
    ต่อมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เชิญนางนวพร กลิ่นบัวแก้ว ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน พร้อมเจ้าหน้าที่เขตปทุมวัน ในส่วนที่เกี่ยวข้อง มาสอบปากคำในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อสอบถามถึงสะพานลอยฟ้าสี่แยกปทุมวัน หรือบริเวณสกายวอล์กเป็นพื้นที่สาธารณะหรือไม่ 
    ทั้งนี้ นางนวพรพร้อมเจ้าหน้าที่ได้ให้การยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เปิดให้ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ และยังได้ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ห่างจากเขตพระราชฐานไม่เกิน 150 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ห้ามตาม พ.ร.บ.การชุมนุม มาตรา 7 
ชี้ดำเนินคดีตาม กม.
    พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า นอกจากที่ คสช.แจ้งความร้องทุกข์ คือ ม.116 และคำสั่งที่ 3/2558 ส่วนตัวเห็นว่าการชุมนุมครั้งนี้ผิด พ.ร.บ.ชุมนุมด้วย ที่กลุ่มคนเหล่านี้นัดชุมนุมทุกวันเสาร์ ต้องดูข้อกฎหมายด้วย พ.ร.บ.ชุมนุมว่าอย่างไร ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายชุมนุม ถ้าปฏิบัติไม่ถูกกฎหมายชุมนุมก็เป็นความผิด ส่วนจะมีคนอยู่เบื้องหลังหรือไม่ อยู่ระหว่างการสอบสวน ทุกอย่างอยู่ในสำนวน ออกหมายจับเดี๋ยวก็รู้เอง
    "ที่ชุมนุมห่างจากเขตพระราชฐานเท่าไหร่ ทำอย่างนั้นได้อย่างไร ตรงนั้นมันที่อะไร กฎหมายว่าอย่างไร ก็เป็นพวกเดิมๆ เจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการตามกบิลบ้านกบิลเมือง ส่วนเรื่องเงินสนับสนุน ต้องรอให้ศาลอนุมัติหมายก่อนกระบวนการอื่นถึงจะดำเนินการตามได้" พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว
    รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า การชุมนุมสามารถชุมนุมได้ แต่ต้องทำตามกฎหมายบ้านเมือง ถ้าผิดกฎหมายบ้านเมืองต้องถูกดำเนินคดี      
    ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เราต้องการความสงบหรือไม่ ถ้าต้องการความสงบ เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงที่จะดูแล เราต้องยึดกรอบตามกฎหมายและคำสั่งของ คสช. และตอนนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์จะมาอะไรล่ะ
    ถามว่า การประกาศชุมนุมต่อเนื่องเกรงจะลุกลามหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการชุมนุม คงไม่เป็นไร ส่วนมาตรการในการดูแลความเรียบร้อยนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวตนเตรียมเอง ทางการข่าวก็มีกลุ่มเดียวที่เห็น
    "จะลุกลามหรือเปล่าผมไม่ได้พูด เป็นคำที่สื่อพูด มีกลุ่มเดียว ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น ซึ่งการชุมนุมทางการเมืองรวมตัวได้ไม่เกิน 5 คน แล้วจะไปรวมตัวอะไรกัน" รองนายกฯ กล่าว
    ขณะที่นายนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ "จ่านิว" ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sirawith Seritiwat หลังตัวแทน คสช.เข้าแจ้งความดำเนินคดีว่า "มีคดีใหม่เพิ่มเข้าอีกแล้ว คนฟ้องก็คนเดิม บุรินทร์ ทองประไพ ขอโทษนะบุรินทร์ คดีเก่าที่ฟ้องไว้ยังไม่ปัญญามาสืบพยาน ยังจะไปคิดฟ้องคดีใหม่ ในข้อหาเดิม โธ่ คำสั่ง คสช.3/2558"
    เช่นเดียวกับ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่ถูก คสช.แจ้งข้อหาขัดคำสั่ง คสช. หลังร่วมชุมนุมกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยว่า จากกรณีที่ทหารแจ้งความตนที่ สน.ปทุมวัน กับเพื่อนคนอื่นๆ อีก 6 คน ตนไม่ได้อยู่กลุ่มไหนทั้งนั้น และที่ไปงานนั้นก็โดยต้องการไปฟังเสียมากกว่า เหมือนทุกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรเวลาไป ไปครั้งนี้ก็เหมือนพี่น้องประชาชนที่อยากจะตรวจสอบการทุจริตของ พล.อ.ประวิตร และถามถึงสัญญาเลือกตั้ง หากมีเหตุทำให้ต้องพูดสั้นๆ ไม่ได้ตระเตรียมใดๆ ไม่ได้แชร์ว่าจะเข้าร่วมอะไร งานวันที่ 10 ก็ไม่รู้ใดๆ ว่าจะมีมาก่อน ยังคิดเลยว่าจะไปดีหรือไม่
    "ถ้าหากสิทธิพลเมืองในการตั้งคำถามกับคนที่เอาเงินภาษีของประชาคนไทยไปใช้ไม่ได้ บอกอีกอย่างทำอีกอย่าง ถ้าถามเสียงดังๆ จะถูกเล่นงาน ผมคงไม่อาจจะปล่อยให้ประเทศนี้ตกอยู่ภายใต้การนำของคนเช่นนี้ไม่ได้ คนรุ่นผมจะลำบากจากเคราะห์กรรมแน่ๆ จากมรดกการทุจริตและการตระบัดสัตย์เช่นนี้ ดังนั้นการจะเล่นงานผมครั้งนี้ ผมไม่กลัวใดๆ ดีเสียอีกว่าอย่างน้อยผมคนนึงก็ปกป้องประเทศชาติของเรา ผมมีความรู้สึกอย่างเดียวว่าเป็นเกียรติที่จะอยู่ใน 7 รายชื่อนี้ด้วย (กรุณาอย่ากด เสียใจ ไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับการทำหน้าที่พลเมืองคนหนึ่งของชาติ)" นายเนติวิทย์ระบุ
ขู่ไร้สงบโรดแมปสะดุด
    วันเดียวกัน พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวถึงกรณีคณะอาจารย์ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืน และบริหารศูนย์รังสิต ลงชื่อร่วมกันจำนวน 26 คน ยื่นหนังสือต่อหัวหน้า คสช. ให้ทบทวนการดำเนินการกับผู้จัดกิจกรรมทั้ง 8 ราย รวมถึงผ่อนปรน การแสดงออกของประชาชนที่เป็นไปอย่างสันติ ในขอบเขตของกฎหมายปกติว่า คสช.ขอเรียนชี้แจงว่า มูลเหตุเริ่มต้นจากกลุ่มองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ในนาม People Go network ได้จัดกิจกรรมบริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ชุมนุมเรียกร้อง มีการกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาลและคสช. 
    พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวมีผู้ร่วมในเหตุการณ์ประมาณ 150 คน นำโดย ผศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งผู้บังคับกองพัน ทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 ฐานร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. ซึ่งขั้นตอนพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา แต่หากยังไม่มาพบ จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 และหากไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จะดำเนินการออกหมายจับทันที
    “ณ เวลานี้ การที่คณะอาจารย์ได้มีหนังสือให้พิจารณาทบทวน จึงเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ครูอาจารย์ผู้ซึ่งเป็นขุมพลังปัญญาอันสำคัญยิ่ง และสามารถชี้แนะการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมให้แก่นิสิต นักศึกษา และสังคม โดยใช้บรรยากาศการปรองดอง ความร่วมมือ ใช้สติปัญญาหันหน้าพูดคุย เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม กับบรรยากาศของบ้านเมือง และนำพาประเทศชาติและสังคมก้าวข้ามผ่านความยากลำบากในช่วงเวลานี้" พล.ต.ปิยพงศ์กล่าว
    ทีมโฆษก คสช.กล่าวว่า การกำหนดบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ให้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังมีผลบังคับใช้ เป็นเครื่องแสดงเจตนาที่ชัดเจนว่า ประเทศยังมีความจำเป็นในการมีกฎหมายเพื่อรักษาความสงบ และความมั่นคงภายในอยู่ ส่วนท่านใดจะตีความเช่นไร ก็เป็นการเสนอความเห็นที่กระทำได้ แต่มิได้หมายความว่าจะทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปได้
    “คสช.และรัฐบาลได้ดำเนินงานตามโรดแมปที่วางไว้ตลอดมา และทุกฝ่ายพยายามทำให้เกิดความเรียบร้อยอย่างดีที่สุด การแสดงออกที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือสร้างความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ความสงบ อาจจะเป็นปัจจัยทำให้การเดินหน้าสู่โรดแมปไม่ราบรื่น  จึงอยากร้องขอให้การแสดงออกทุกอย่าง เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ อีกทั้งผู้ดำเนินกิจกรรมย่อมรู้อยู่แก่ตนเองว่า กิจกรรมที่ดำเนินการอยู่เหมือนหรือแตกต่างจากกิจกรรมรณรงค์ประเด็นทางสังคมอื่นหรือไม่" ทีมโฆษก คสช.กล่าว
    พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวว่า ก่อนที่จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดี ได้มีการพูดคุยเจรจาขอความร่วมมือ เพื่อมิให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อทางกลุ่มยังยืนยันที่จะทำต่อไป คสช.จึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากสนับสนุนให้เกิดการบังคับใช้กฎหมาย 
โอดอยู่ 4 ปีต้องมีจุดอ่อน
    ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวว่า สถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้ตนมองเป็นเรื่องธรรมชาติ การเป็นรัฐบาลมาระยะเวลา 3 ปีเศษ เข้าปีที่ 4 ก็มีปัญหาแบบนี้มาทุกรัฐบาล พอถึงเวลาก็อาจจะมีจุดอ่อนมากขึ้นในการทำงาน ยิ่งทำงานมากปัญหาก็มากขึ้น ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ต้องดูเหตุผลว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร คนที่เคยสนับสนุนอยู่ตรงกลาง ไม่เข้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็เห็นชอบกับการทำงานของรัฐบาล บางครั้งมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คนเหล่านี้ก็อยากให้ทุกอย่างราบรื่นในทางที่ดีที่สุด ซึ่งเขาอาจจะมีความรู้สึกไม่ดีกับรัฐบาลก็เป็นธรรมดา ทุกรัฐบาลก็เป็นแบบนี้เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 แต่เรายืนยันจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หลายคนอาจจะมองว่ารัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ใช้อำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ จริงๆ แล้วไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด รัฐบาลฟังทุกอัน ลองคิดย้อนกลับดูปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ หรือผู้ลำบากยากแค้น สิ่งแรกที่เป็นช่องทางถึงรัฐบาลคือศูนย์ดำรงธรรมมีหลายล้านเรื่อง ซึ่งเราแก้ไปได้กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นความเดือดร้อนเล็กๆ น้อยๆ ทั้งสิ้น แล้วจะมาบอกว่าเราทำไม่ตรงความต้องการของประชาชนได้อย่างไร ทั้งเรื่องถนน แหล่งน้ำ ประปา ขยะ รัฐบาลนี้แก้ให้ทันที 
    “การจะทำอะไรก็ตามที่มีผลกระทบกับความสงบเรียบร้อยกับบ้านเมือง ตรงนี้ต้องใช้กลไกกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะทำอะไร ความเคลื่อนไหวต่างๆ ศาลปกครองก็คุ้มครองช่วยแล้วระดับหนึ่ง แต่อย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน ฉะนั้นต้องมอง 2 ด้าน มองคนที่เขาไม่เห็นด้วย คนที่เขาเดือดร้อน ต้องดูเจตนาต่างๆ ให้ชัดเจน ผมไม่ขัดแย้งกับใคร หลายคนอยากให้ใช้กฎหมายแรงๆ เพื่อยุติให้ได้ ขณะที่หลายพวกเห็นว่าใช้แรงๆ ก็ดี จะได้ขยายความขัดแย้งมากขึ้น มันมี 2 ฝ่ายเสมอ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ถามว่า รู้สึกอย่างไรที่ถูกมองว่ารัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเข้าใจประเด็นอย่างที่บอก ระยะเวลาการทำงานของเรา อาจจะมีความขัดแย้งสูง อาจจะมีคนได้ประโยชน์เสียประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ ทุกคนอยากจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะผ่านมา 3 ปีแล้ว ก็ต้องไปดูกลุ่มไหนที่เดือดร้อน และเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องเหล่านี้ สื่อคงหาเจออยู่แล้ว ตนคงไม่ไปขัดแย้งด้วย
    “เรามุ่งมั่นที่จะทำงานดูแลพี่น้องประชาชนทั้งหมด นโยบายต่างๆ ในช่วงปีนี้ อย่ามองว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อสืบทอดอำนาจ มันเป็นการทำงานต่อเนื่อง จากปีที่หนึ่งสองสามตามโรดแมปของผม เพราะฉะนั้นในขั้นตอนนี้ ปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายตามโรดแมป คือทำงานที่มีโครงการไทยนิยมยั่งยืนลงไป คำว่าไทยนิยม คือ นิยมความดี ความงาม นั่นคือความหมายไทยนิยมของผมในทุกๆ เรื่อง เพราะความดี ความงาม เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน ที่จะมุ่งมั่นในการทำความดีเพื่อประเทศชาติ รัฐบาลนี้มุ่งหวังเพียงวางพื้นฐาน รากฐานของประเทศไว้ให้ สุดแล้วแต่รัฐบาลต่อไปจะดำเนินการอย่างไรต่อ" นายกฯ กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการเลื่อนไม่เลื่อนตรงนี้เลย และก็ยืนยันโรดแมปเดิมที่กำหนดไว้ หากไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย ก็เป็นไปตามนั้น ตนไม่ก้าวล่วงใครทั้งสิ้น ขอให้พิจารณา บางเรื่องถ้าไม่ตรงความต้องการของคนบางกลุ่ม บางฝ่าย ก็ไม่ค่อยพอใจ อยากให้ใช้มาตรา 44 อันไหนที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ ก็หาว่าไปละเมิดคนโน้นคนนี้ สรุปไม่มีความพอใจเท่าที่ควรจะเป็น
    ซักถึงการสัญญาจะมีการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่เคยสัญญาจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ มีสื่อหลายคน จำได้ว่าใครเป็นคนถามเรื่องสัญญาตามเนื้อเพลง คือทุกอย่างจับเป็นประเด็นได้หมด สัญญาคืนความสุขของตนคือ คืนความสุขให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่มทุกฝ่าย มันมีกี่กลุ่ม ฉะนั้นบางความสุขก็คืนให้ได้ทันที แต่บางความสุขก็ยังคืนไม่ได้ เป็นเรื่องของกลไกในการแก้ปัญหา จัดการคืนความสุขต่อๆ ไปในรัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้า
    "มาบอกว่าผมยังไม่เห็นคืนความสุข มันจะคืนได้ไหม ปัญหามันร้อยแปดพันเก้า ทุกคนก็ต้องมาช่วยกันแก้ ขอให้เข้าใจ ผมไม่ได้แก้ตัวอะไรทั้งสิ้น บ้านเมืองมันสงบเรียบร้อยขึ้นไหมตอนนี้ เริ่มมีความสุขไหม เศรษฐกิจขนาดใหญ่ขนาดกลางดีขึ้นหรือไม่ ขนาดเล็กกำลังแก้ไขหรือเปล่า ปัญหาที่สะสมได้รับการแก้ไขหรือไม่ ทั้งเรื่องแรงงานและการเพิ่มค่าจ้าง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขหรือ แม้มันจะไม่มากนัก แต่มันก็เป็นความสุขแล้วไง นี่คือสัญญาของผม ก็คืนให้ แต่ให้ในสิ่งที่ให้ได้ก่อน สิ่งไหนที่ยังไม่ได้ รัฐบาลต่อไปก็ต้องไปทำต่อ ไม่ใช่มาโจมตีกันในวันนี้ แล้ววันหน้าจะได้อะไร มันก็โจมตีกันแบบนี้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ปชป.ซัด'บิ๊กตู่'โกหก
    นายกฯ กล่าวว่า ทุกครั้งที่ผ่านมา ทุกรัฐบาลก็เป็นอยู่แบบนี้ มันต้องเอานโยบายมาถกแถลงกัน เห็นดีเห็นชอบหรือไม่ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลเราเอาทุกอย่างมาเปิดเผยหมดว่าคิดและทำอะไร เรื่องโครงการไทยนิยม ยั่งยืนก็สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งจะต้องดูแลผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทิ้งทุกพื้นที่ ไม่ใช่เพื่อจะไปสร้างคะแนนเสียง หากจะสร้างคะแนนเสียงคงไม่ยากขนาดนี้ 
    “ถ้าจะพูดถึงเพลง ท่านก็เอาเฉพาะขอเวลาอีกไม่นาน ถ้าผมจะเอาตอนจบของผมบ้าง แผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา ผมก็เอาคนละตอนบ้างซิ ความหมายมันสมบูรณ์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว วันนี้อยากให้เห็นใจรัฐบาลและข้าราชการบ้าง เขาเหน็ดเหนื่อยมหาศาลมาสามสี่ปี เพราะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง แน่นอนปัญหาต้องเกิดขึ้น พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง ขอให้รอดูกันต่อไป อย่าเพิ่งหมดกำลังใจกับผมและรัฐบาล คสช.ก็พยายามทำเต็มที่" นายกฯ กล่าว
     นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประกาศการเลือกตั้งจะมีความชัดเจนในเดือน มิ.ย.61 กระทรวงการต่างประเทศจึงยังไม่ต้องไปชี้แจงในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดสอบถามเหตุผลการเลื่อนเลือกตั้งมายังกระทรวงการต่างประเทศ เพราะถือเป็นเรื่องภายในประเทศ เป็นเหตุผลของเรา เขาไม่ได้ติดใจอะไร 
    "ผมยืนยันได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเป็นห่วง อะไรที่เดินไปตามครรลองของกฎหมายและของประเทศอื่น ไม่มีใครมาใส่ใจอะไรทั้งสิ้น เช่นเดียวกับประเทศไทย ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายในต่างประเทศ เราคงไม่ไปยุ่ง" รมว.การต่างประเทศกล่าว
    ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีปฏิเสธไม่เกี่ยวกับการขยายเวลาบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ออกไป 90 วัน จนทำให้โรดแมปการเลือกตั้งเลื่อนว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากข้ออ้างที่ทำให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.นั้น เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช. ยังไม่ยอมปลดล็อก ประกาศ คสช.และคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 จนทำให้การทำตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองต้องเปลี่ยนแปลงไป 
    "นายกฯ ระบุว่าตนเองบังคับกฎหมายไม่ได้นั้น จึงไม่เป็นความจริง และเท่ากับว่านายกฯ ใช้อำนาจหัวหน้า คสช.แทรกแซงการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งยังเป็นการบังคับกฎหมายพรรคการเมืองให้เป็นไปตามที่ต้องการ  ซึ่งถ้านายกฯ ปล่อยให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามกฎหมายตั้งแต่ต้น จะไม่มีข้ออ้างว่าพรรคการเมืองทำงานไม่ทันจนต้องขยายเวลาออกไป  90 วันแต่อย่างใด" นายองอาจกล่าว
    รองหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวถึงกรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. อ้างการขยายเวลาดังกล่าวจะช่วยให้พรรคการเมืองทำไพรมารีโหวตทันว่า ถือเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากปล่อยให้พรรคการเมืองทำตามกฎหมายเสียตั้งแต่แรกโดยไม่มีประกาศคำสั่ง คสช.มาบีบบังคับไว้ การทำไพรมารีโหวตก็จะสามารถทำได้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
    “ประธาน สนช.มีฐานะหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายของคสช. ควรบอกให้หัวหน้า คสช.คลายล็อกเพื่อให้พรรคการเมืองทำตามกฎหมายเสียตั้งแต่แรก เมื่อกฎหมายพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้ จะได้ไม่ต้องหาเหตุผลข้างๆ คูๆ ที่ย้อนแย้งกันเองมาเป็นข้ออ้างจนทำให้นายกรัฐมนตรีกลายเป็นตัวตลกในสายตาของนานาชาติ และคนไทยส่วนหนึ่ง ถ้าผู้มีอำนาจทุกฝ่ายทำทุกอย่างตรงไปตรงมาไม่มีวาระซ่อนเร้น ก็จะไม่เกิดปัญหาใดๆ ตามมา แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ก็จะเป็นปมปัญหาเพิ่มขึ้นไม่รู้จบ”รองหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"