สองผู้เฒ่าผู้ยิ่งใหญ่


เพิ่มเพื่อน    

      เห็นภาพท่าน มหาธีร์ นายกรัฐมนตรีที่แก่ที่สุดในโลกของ เสือเหลือง มาเลเซีย...ยืนจับมือ ถือแขน กับเพื่อนเก่าอย่าง ป๋าเปรม ประธานองคมนตรี ที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อวานนี้ ต้องเรียกว่า...ก่อให้เกิดความรู้สึกคึกๆ คักๆ ครึ้มอก ครึ้มใจ อยู่พอสมควร โดยเฉพาะสำหรับบรรดาคนแก่ หรือคนชราทั้งหลาย...

                                                              -------------------------------------------------

      คือทั้งสองท่าน สองรายที่ว่านี้...อาจจัดอยู่ในประเภท ไอดอล ของคนแก่ เอาเลยก็ว่าได้ เพราะถ้านำเอาสิริ อายุ มาบวกรวมกันแล้ว ก็แทบใกล้ๆ กับอายุของกรุงรัตนโกสินทร์โน่นเลย หวิดๆ จะประมาณ 200 ปี แถมยังเปล่งประกาย เปล่งรัศมี พอๆ กับเครื่องลายคราม ที่ลงน้ำมันชักเงาเอาไว้แล้วถึงขั้นนั้น หรือไม่ว่าจะแก่ขนาดไหน แก่กันในระดับใด แต่ก็ยังคง มีไฟอยู่ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยังสามารถเปล่งประกาย เปล่งรัศมี พอที่จะทำให้ทั้งคนแก่ คนไม่แก่ อดไม่ได้ที่จะต้องหันมาเหลือบมอง ไม่ว่าด้วยความทึ่ง ด้วยความแปลกใจ ประหลาดใจ ไปจนถึงความรู้สึกถึงคุณค่า ราคา ของเครื่องลายครามทั้งสองใบที่ว่า...

                                                               --------------------------------------------------

      สำหรับนายกฯ มหาธีร์ นั้น...การขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและนายกรัฐมนตรีที่แก่ที่สุดโลกของท่านเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความแปลกใจ ประหลาดใจ ให้กับใครต่อใครได้เท่านั้น แต่ยังอาจถือเป็นการสร้างคุณค่า ราคา ให้กับประเทศมาเลเซียทั้งประเทศเอาเลยก็ว่าได้ เพราะมาเลเซียยุคที่นายกฯ มหาธีร์ หวนกลับมาเป็นผู้นำคราวนี้ ย่อมมิใช่มาเลเซียประเภทที่ผู้หนึ่ง ผู้ใด หรือประเทศหนึ่ง ประเทศใด คิดจะหันซ้าย-หันขวา ได้ง่ายๆอีกต่อไป ไม่ว่าประเทศนั้นจะเป็นอภิมหาอำนาจอย่างอเมริกา อย่างจีน หรือประเทศผู้นำโลกอิสลามที่รวยล้นฟ้า อย่างซาอุดีอาระเบีย ก็ตามที...

                                                                ----------------------------------------------------

      พูดง่ายๆ ว่า...นับตั้งแต่ท่านนายกฯ มหาธีร์ ท่านหวนกลับมาดูแล บริหาร ประเทศมาเลเซียกันอีกรอบ ความเป็นตัวของตัวเอง ความมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ในฐานะประเทศที่มีเอกราช มีอธิปไตยเป็นของตัวเอง อย่างประเทศมาเลเซีย ก็กลับมามีคุณค่า ราคา อย่างชนิดประเทศไหนต่อประเทศไหนก็แล้วแต่ ต่างพร้อมให้ความยอมรับอย่างเต็มอก เต็มใจ หรืออย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย แม้จะเป็นประเทศเล็กๆ เป็นแค่หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ด้วย ความเป็นตัวของตัวเอง ของมาเลเซีย ทำให้การแข่งขันเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบของบรรดาอภิมหาอำนาจทั้งหลายในภูมิภาคนี้ เป็นไปในลักษณะ สมดุล ขึ้นมาเป็นกอง...

                                                                -----------------------------------------------------

      คือแม้ว่าท่านไม่เคยคิดจะ เดินตามก้นอเมริกา มาตั้งแต่อ้อน แต่ออก แบบที่บรรดาประเทศเล็กๆ ทั้งหลายล้วนแล้วแต่สมัครใจที่จะเป็น สมุนจักรวรรดินิยม กันมาโดยตลอด แต่มาถึงทุกวันนี้...ท่านก็ไม่ได้คิดที่จะโผไป ซบจีน อะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปในลักษณะ เท่าเทียมกัน  หรือไม่ได้ก่อให้เกิด ผลประโยชน์ร่วมกัน ของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ถึงกับ วิน-วิน ไปด้วยกันทั้งคู่ ท่านกล้าที่จะสั่งรื้อ สั่งถอน หรือยืดเวลาออกไป จนกว่าจะหาจุด สมดุล ขึ้นมาได้จริงๆ และแม้แต่โดย ความเป็นอิสลาม ก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากเลยขีด เลยความถูกต้อง เป็นธรรม ตามหลักการของศาสนา กลายเป็น อิสลามปาม อะไรทำนองนั้น ท่านก็พร้อมชักสะพานถอยหลังโดยทันที พร้อมที่จะไม่เห็นพ้อง ต้องกัน ไปกับผู้นำแห่งโลกอิสลาม อย่างซาอุดีอาระเบีย ในหลายต่อหลายเรื่อง แถมยังหันไปเล่นงานผู้ที่ได้รับเงิน รับทอง จากพี่เบิ้มแห่งโลกอิสลามด้วยความเสน่หา ชนิด ไปไม่เป็น ไปแล้วในทุกวันนี้...

                                                                   -----------------------------------------------------

      เรียกว่า...ไม่ว่าจะแก่แสนแก่ แก่ขนาดไหน ชราภาพเพียงใด ท่านก็ยังคงดำรงตนเป็น เสาหลัก ทั้งของชาติ และศาสนา ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจเอามากๆ ไม่ต่างอะไรไปจาก ป๋าเปรม ของเรานั่นแหละ ตลอดช่วงชีวิตของ ป๋าเปรม นั้น...ไม่ว่าจะถูกจัดประเภทอยู่ในสายไหนต่อสายไหน แต่สิ่งที่อาจถือเป็นหลักยึดของอดีตนายทหารม้าผู้นี้ อันที่จริงแล้ว...ก็คือความถูกต้อง เป็นธรรม ความเป็นไปตามธรรมะ ตามแนวทางการสนองตอบต่อ ทศพิธราชธรรม มาโดยตลอดนั่นเอง ดังนั้น...ไม่ว่าชาติบ้านเมือง หรือโลกจะเปลี่ยนไปในแนวไหน ป๋าเปรม ก็ยังคงเป็น ป๋าเปรม และยังคงเป็น หลัก ภายใต้กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้เสมอ แม้ว่าในแง่เรี่ยว แง่แรง ท่านอาจถดถอยลดน้อยลงไปบ้าง แต่ในแง่ หลักการ แห่งความถูกต้องแล้ว ท่านก็ยัง แข็ง โด่เด่ อย่างชนิดสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง ได้เป็นอย่างดี...

                                                                  ------------------------------------------------------

      การที่ทั้งสอง ป๋า...ยังพอมีเรี่ยว มีแรง มีโอกาสที่จะกลับมาจับมือ ถือแขน กันได้ตามภาพข่าวซึ่งปรากฏแก่สายตาใครต่อใครไปเมื่อวันนี้ จึงก่อให้เกิดความรู้สึกออกไปทางดีๆ ทางที่น่าปลื้ม น่าประทับใจ และน่าครึ้มอก ครึ้มใจ มิใช่น้อย เพราะว่าไปแล้วในเรื่องอายุ อานาม เรื่องวัย เรื่องสังขารนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง การอุบัติขึ้นมาเป็น ตัวตน ของใครคนใด คนหนึ่ง ขึ้นมาในโลกใบนี้ ว่าไปแล้ว...คงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก มายาภาพ หรือ เงา ซึ่งสามารถเลือนหายไปได้ทุกเมื่อ เหมือนหยาดน้ำค้างที่จะต้องระเหยหายไปตามกาลเวลา แต่ด้วยสิ่งที่ได้กระทำเอาไว้ จนกลายมาเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง หรือกลายเป็น หลักการ เป็น แนวทาง ให้กับผู้ที่บังเกิดเป็นตัวตนใหม่ๆ ได้ศึกษา ได้เพ่งพินิจพิจารณา อันนั้นนั่นแหละ...ที่มันไม่เคยสูญหายไป และยังสามารถนำมาย้ำเตือนได้ในทุกจังหวะ ทุกเวลา นาที ว่าอะไรที่ควรเป็นไป ตาม ครรลองคลองธรรม ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง...

                                                                  ---------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Longfellow (ถอดความโดยพระราชนิพนธ์ ร.6)... Lives of great men all remind us, We can make our lives sublime, And depart leave behind us, Foot-prints on the sand time.- ประวัติวีรบุรุษไซร้-เตือนใจ เรานา/ว่าเราก็ยังชมน์-เลิศได้/แลยามจะบรรลัย-ทิ้งซึ่ง/รอยบาทเหยียบแน่นไว้-แทบพื้น-ทรายสมัย...

                                                                  --------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"