เอสซีจีเผยรายได้ Q3 ทะลุ 1.22 แสนล.


เพิ่มเพื่อน    

 

เอสซีจีเผยรายได้ไตรมาส 3 เติบโต 9% อยู่ที่ 1.22 แสนล้านบาท เผยกำไรลดจากวัตถุดิบพลังงานราคาสูงและปรับลดมูลค่าทรัพย์สินทางบัญชี พร้อมรับเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน ต้องปรับแผนลงทุนใหม่ภายใน 1-2 เดือนนี้ ชี้ชัดเจนไม่ลงทุนสถานีกลางบางซื่อ 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยถึงผลประกอบการของเอสซีจีในช่วงไตรมาส 3/2561 มีรายได้จากการขาย 122,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% ตามการเติบโตของรายได้ทุกกลุ่มธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากตลาดโดยรวมที่มีแนวโน้มดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากโครงการลงทุนของภาครัฐ และเอกชนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งตลาดเคมิคอลส์และแพคเกจจิ้งที่ยังมีความต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 361,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%

ขณะที่ ไตรมาส 3/2561 มีกำไร 9,473 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการค้าโลกที่ชะลอตัว และการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี และ 9 เดือนมีกำไร 34,281 ล้านบาท ลดลง 19%

ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง เอสซีจีจึงติดตามสถานการณ์สงครามการค้า และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม และทางบริษัทยังอยู่ระหว่างทบทวนแผนการลงทุน บางโครงการกำลังศึกษาความจำเป็นและคุ้มค่าเพื่อปรับลดการลงทุนให้เหมาะสม คาดจะมีความชัดเจนภายใน 1-2 เดือนนี้ จากปัจจุบัน 9 เดือนของปีนี้ลงทุนไปแล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปีจะลงทุนอยู่ที่ 4-4.5 หมื่นล้านบาท และปีหน้าคาดว่าจะมีการลงทุนอยู่ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งล่าสุดมีความชัดเจนแล้วว่าเอสซีจีไม่มีแผนเข้าไปประมูลลงทุนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์สถานีกลางบางซื่อ เพราะไม่มีความชำนาญ

โดยเอสซีจีประเมินแนวโน้มธุรกิจในเครือไตรมาส 4 ของปีนี้ไม่น่าจะเติบโตอยู่ในระดับสูงเหมือนกับ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเติบโตกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ตลาดโลกมีการปรับตามราคาน้ำมันและนาฟทาที่สูงขึ้นทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดผันผวน ขณะที่ไตรมาส 3/2561 มีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ตลาดรวมทั้งประเทศโต 7% และ 9 เดือนที่ผ่านมาโต 3% คาดทั้งปีความต้องการใช้รวมโต 5%

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าอาจเอื้อให้เกิดโอกาสใหม่ให้ธุรกิจของเอสซีจีได้ ทางบริษัทจึงปรับตัวรับมือสถานการณ์เพื่อรักษาและเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจให้มากขึ้นทั้งในระยะสั้นและยาว โดยการขยายฐานตลาดสู่ภูมิภาคอื่น เห็นได้จากแนวโน้มผลการดำเนินงาานของเอสซีจีนอกประเทศในไตรมาส 3/2561 มีรายได้จากการขาย 30,899 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15% ส่วน 9 เดือนมีรายได้จากการขายในภูมิภาค 87,943 ล้านบาท คิดเป็น 24% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 11% และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น 64,322 ล้านบาท คิดเป็น 18% ของยอดขายรวม

นอกจากนี้ ยังมีแผนบริหารจัดการต้นทุนพลังงาน เห็นได้จาก 9 เดือนของปีนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 400 ล้านบาท โดยเอสซีจีมีความสนใจที่จะลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) รองรับธุรกิจในเครือเอสซีจีส่วนใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานสูง แต่ยังไม่มีแผนลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม การเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนหมุนเวียน และการทบทวนโครงการลงทุนและต้นทุนการลงทุน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"